วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 16:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 25 ต.ค. 2008, 19:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ต.ค. 2008, 22:09
โพสต์: 12

ที่อยู่: ประเทศไทย

 ข้อมูลส่วนตัว


การอธิษฐานมีผลยังไงกับชีวิตเราบ้างคะ ทุกวันหลังจากหนูนั่งสมาธิหนูจะแผ่เมตตาและอธิษฐานตลอด หนูอยากรู้ว่าการอธิษฐานที่ทำทุกวันนั้นเป็นความจริงได้ไหม บุญจะช่วยหรือเปล่า (หนูไม่ใช่ไม่เชื่อในบุญนะคะ แต่บางครั้งที่หนูขอหนูรู้สึกว่าเป็นความจริงยากมากๆ เลย แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีสิทธิ์ค่ะ มีให้ลุ้นๆ อยู่เหมือนกัน :b29: )

.....................................................
พระปัญญาเลิศล้น ทรงค้นพบสัจธรรม พระการุณย์เลิศล้ำ ทรงน้อมนำสู่มนุษย์


โพสต์ เมื่อ: 26 ต.ค. 2008, 10:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


การอธิฐานเป็นคนละอย่างกับการอ้อนวอนขอกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหมครับ

พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการปฏิบัติ ไม่สอนให้อ้อนวอนขอจากเทพ เทวดา หรือพรหม

การอธิฐานที่คุณร่มธรรมกระทำผมถือว่าเป็นความตั้งใจที่ดีครับ ถ้าคำอธิฐานนั้นเป็นการอธิฐานที่ตั้งอยู่บนวิชชา

คือไม่ตั้งอยู่บนกิเลส จะเป็นตัญหาบ้างก็เป็นปกติ

อย่างน้อยๆก็เกิดสมาธิและเจริญเมตตา

จึงพอทำนายได้ว่าน่าจะเกิดผลที่ดีๆตามมา


โพสต์ เมื่อ: 26 ต.ค. 2008, 11:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


น้องร่มธรรมใช้วิธีตั้งสัจกิริยาอ้างสิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติเป็นอาจิณ เช่น การอบรมจิตทำ
สมาธิภาวนา ในแต่ละครั้งๆเสร็จแล้ว โดยการตั้งสัจจาธิษฐาน...ด้วยผลแห่งบุญหรือผลของกุศลเจตนาที่เกิดจากการปฏิบัตินี้...ขอให้ข้าฯ จงประสบสุขโชคดีมีความเจริญก้าวหน้าในชีวิตด้วยเดชแห่งบุญนี้....อย่างนี้พอได้ไม่เสียหายต่อเพียรพยายาม

ดูตัวอย่างกว้างๆ ดังนี้ :b1:


สัจกิริยา ทางออกที่ดีสำหรับผู้ยังหวังอำนาจดลบันดาล


สำหรับชาวพุทธในระยะพัฒนาขั้นต้น ผู้ยังห่วง ยังหวัง หรือยังมีเยื่อใยที่ตัดไม่ค่อยขาด ในเรื่องแรงดลบันดาล หรืออำนาจอัศจรรย์ต่างๆ
ประเพณีพุทธแต่เดิมมา ยังมีวิธีปฏิบัติที่เป็นทางออกให้อีกอย่างหนึ่ง คือ "สัจกิริยา" แปลว่า การกระทำสัจจะ หมายถึงการอ้างพลังสัจจะ หรือการอ้างเอาความจริงเป็นพลังบันดาล คือ ยกเอาคุณธรรมที่ตนได้ประพฤติปฏิบัติบำเพ็ญมา หรือมีอยู่ตามความจริง หรือแม้แต่สภาพ
ของตนเอง ที่เป็นอยู่จริงในเวลานั้นขึ้นมาอ้าง เป็นพลังอำนาจสำหรับขจัดปัดเป่าภยันตราย
ที่ได้ประสบในเมื่อหมดทางแก้ไขอย่างอื่น

วิธีนี้ ไม่กระทบกระเทือนต่อความเพียรพยายาม และไม่เป็นการขอร้องวิงวอนต่ออำนาจดลบันดาลจากภายนอกอย่างใดๆ ตรงข้าม กลับเป็นการเสริมย้ำความมั่นใจในคุณธรรม และ ความเพียรพยายามของตน และทำให้มีกำลังใจเข็มแข็งยิ่งขึ้น
อีกทั้งไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับวัตถุ หรือ พิธีที่จะเป็นช่องให้ขยายกลายรูปฟั่นเฝือออกไปได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 27 ต.ค. 2008, 22:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2008, 20:12
โพสต์: 83

ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

 ข้อมูลส่วนตัว


ว่าแต่ว่า อธิษฐานอะไรไว้ละคะ :b1:

คนไทยโดยมาก นึกว่าอธิษฐานคือการขอโน่นขอนี่ หลังจากทำบุญทำทานไปแล้ว

เรียกว่าเอาให้คุ้มกันเลย เช่นทำบุญไปร้อยนึง ขอถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 :b22:

ดูจะค้ากำไรเกินควรซักหน่อย โดนกิเลสครอบงำไปเรียบร้อยแล้ว อานิสงส์ผลบุญคงจะลดถอยลง

แต่ทางพระ ท่านอธิษฐานเพื่อจะทำ ไม่ได้จะขอ เช่นอธิษฐานจะภาวนาโดยไม่นอน

อธิษฐานจะรักษาศีลให้บริสุทธิ เป็นต้น ส่วนความต้องการของเราอยากให้เป็นยังไง

ก็ทำเหตุปัจจัยที่เหมาะสมกับผลที่เราต้องการ น่าจะสมหวังนะคะ :b4:

.....................................................
พวกเธอจงยินดีในความไม่ประมาท
จงระมัดระวังจิตของตน
จงถอนตนออกจากหล่มกิเลส
เหมือนพญาช้างติดหล่ม
พยายามช่วยตัวเอง


โพสต์ เมื่อ: 16 พ.ย. 2008, 03:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2008, 23:07
โพสต์: 151

ที่อยู่: BKK.

 ข้อมูลส่วนตัว


มีหลายปัจจัยเช่น
1.สร้างเหตุให้สมผล ไม่ใช่ว่าทำบุญ50บาท แต่อธิฐานให้รวยเป็นล้าน
2.จิตขณะอธิษฐานต้องมั่นคงเป็นหนึ่งเดียว มีเจตนาที่ดีสูง เต็มด้วยความบริสุทธิ์ใจ
3.แรงอธิษฐานต้องสมำเสมอ ทำบ่อยๆ
4.อย่าหัดเป็นคนใจร้อน มัวแต่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยเหมือนทำความดีหวังผล ให้คิดว่าเราทำดีแล้ว สมบูรณ์แล้ว มันจะมาเมื่อมันจะมา เหมือนหว่านพืชไปแล้ว ข้าวจะงอกเงยเมื่อไหร่ เรากำหนดไม่ได้
5.สิ่งที่อธิษฐานต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามครรลองธรรม อย่าขอสิ่งที่เป็นอกุศล เช่น อธิษฐานอยากเป็นเมียน้อยของชาวบ้านเขา
6.ถ้าเชื่อและมีความหวังว่าสักวันต้องเป็นจริง มันจะเกิดขึ้นจริง แต่มันจะมาเมื่อมันถึงเวลา

.....................................................
จงระมัดระวังกาย วาจา ใจ ไม่ให้ไปทำร้ายใคร


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ย. 2008, 16:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ย. 2008, 14:07
โพสต์: 13


 ข้อมูลส่วนตัว


อธิษฐานเป็นความจริงทุกครั้งครับ
ถ้าเราไม่ถอนมัน
เช่น ขอให้เราได้เป็น...
เราก็จะต้องเวียนว่ายตายเกิดจนกว่าจะได้เป็น...ที่เราได้อธิษฐานไว้
จะเร็วแค่ไหนขึ้นอยู่กับบุญ และวาระครับ


โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 22:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b48: การแผ่เมตตา นอกจากจะแผ่ความสุขให้คนอื่นแล้ว ยังเป็นการระงับความโกรธได้ดีอีกด้วย
เคยได้ยินไหมครับ เราโกรธหรือผูกพยาบาทใครให้แผ่เมตตาให้คนๆนั้น เป็นอุบายข้อหนึ่งที่จะชนะความ
โกรธที่เกิดในใจเราทุกวัน :b39: เพราะฉะนั้นเมื่อมีโทสะให้หัดแผ่เมตตาบ่อยๆ จะได้ไม่โกรธอะไรใคร
ง่ายๆ และค่อยมีสติเพิ่มๆขึ้น :b41:
ส่วนการอธิษฐานจิตให้ได้ผลจริงๆนั้น จะได้ผลก็ต่อเมื่อเราเป็นคนที่มีสัจจะหนึ่ง ทำสมาธิจนหน่วยกิตในจิตเรามีพอสมควรแล้วหนึ่ง(กายสามัคคีและจิตสามัคคี) และที่สำคัญทำความดีตอบแทนพ่อแม่ตัวเองตลอดที่ท่านยังมีชีวิตอีกหนึ่ง(ข้อนี้เป็นข้อสำคัญมากจะทำให้ทำความดีข้ออื่นๆได้ง่าย :b41: ขึ้น) :b40: :b39:
สรุปว่าการจะอธิษฐานต่างๆให้ได้ผลต้องอาศัยการสะสมความดีต่างๆที่เราได้ทำผ่านมาแล้วในชีวิต
ซึ่งเมื่อถึงจุดๆหนึ่งจะค่อยๆ ส่งผล ถึงว่าเราจะไม่อธิษฐาน ก็จะส่งผลเหมือนกันครับ แต่คนเราติดแต่ว่าท้อแท้เสียก่อน ไม่ค่อยฝืนใจและบังคับจิตใจตัวเองให้ทำเป็นเนืองๆ จึงได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง :b40:
สำคัญคือว่าเรามักจะอธิษฐานให้สมหวังทางโลก(สุขทางโลกียะ) ก็อย่าลืมอธิษฐานให้ตัวเราเจริญ
ในธรรมข้ออื่นๆด้วยจะยิ่งดีใหญ่เลย(ข้อนี้ถือเป็นอริยทรัพย์เมื่อจิตใจเราเป็นทรัพย์ ๆทางโลกและความสมหวังอย่างอื่นจะตามมาเอง) :b39: :b40: :b42:

.....................................................
"มีสติเป็นเรือนจิต ใช้ชีวิตเป็นเรือนใจ ใช้ปัญญาเป็นแสงสว่างส่องทางเดินไปเถิด จะได้ล้ำเลิศในชีวิตของท่าน มีความหมายอย่างแท้จริง"
ในการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้ตัดปลิโพธกังวลใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ลูก สามี ภรรยา ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง อย่าเอามาเป็นอารมณ์ จากหนังสือ: เจริญกรรมฐาน7วันได้ผลแน่นอน หัวข้อ12: ระงับเวรด้วยการแผ่เมตตา


โพสต์ เมื่อ: 06 ธ.ค. 2008, 21:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


"การขอ" กับ "การอธิษฐาน" นั้น องค์ธรรมต่างกัน

การขอ องค์ธรรมนั้นได้แก่ โลภะเจตสิก ที่มีความอยากได้ อยากมี อยากเป็น เช่น ขอให้ร่ำ ขอให้รวย ขอให้สุข สมหวัง ฯลฯ นี้เป็นไปกับตัณหา
ส่วนการอธิษฐาน นั้น ท่านสงเคราะห์ลงไปในการปรารภที่จะพ้นจากชาติการเกิด เพื่อความพ้นทุกข์ อย่างนี้ การทำกุศลใดๆ หากปรารภมรรคผลนิพพานหรือ การไม่ต้องเกิดอีก ท่านไม่ถือว่า เป็นไปกับโลภะ

ข้อนั้น เพราะเหตุใด?

ก็เพราะว่า หากผู้ตั้งเจตนานั้น ทราบดีว่า มรรคผลนิพพาน คือการไม่ได้ผุดได้เกิดอีก เป็นการสิ้นทุกข์ อันมีติดตามมากับชาติการเกิด ทุกข์แห่งการแก่ การเจ็บ การตาย หรือความเศร้าโศกเสียใจเพราะไม่สมหวัง หรือประสบกับอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ การพลัดพราก ฯลฯ อย่างนี้ ล้วนติดตามการเกิดมาทั้งสิ้น
หากเข้าใจว่า เมื่อไม่ต้องผุดไม่ต้องเกิดอีก ทุกข์ไหนๆ ก็ตามมาไม่ได้ อย่างนี้ การตั้งความปรารถนานั้น เป็นการอธิษฐาน หากไม่อธิษฐาน กุศลใดๆก็ตามที่ทำไปแล้ว ก็จะส่งผลให้เป็นกุศลผลบุญไปทุกภพทุกชาติ ไม่สิ้นการเกิดได้เลย และการอธิษฐานพร้อมกับกุศลที่นำสัตว์ออกจากทุกข์นั้น ก็ต้องทำให้ครบบารมีทั้งสิบด้วย เริ่มจากทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมะบารมี ปัญญาบารมี เป็นต้น
"ปัญญาบารมี" นั้นสำคัญมาก เพราะจะต้องทำเหตุถูกต้อง ได้แก่ การเจริญสติปัฏฐาน เป็นการปฏิบัติวิปัสสนาเท่านั้น ไม่ใช่การเจริญสมถะกรรมฐานอย่างเดียว
การปรารภการไม่เกิดอีก เพื่อการสิ้นสุด การไม่มี ไม่เป็น ไม่ได้อะไรอีกเลยอย่างนี้ องค์ธรรมจึงต้องเป็น ปัญญาเจตสิกเป็นประธาน ที่มีมาพร้อมกับศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ อโลภะ อโทสะ ฯ ด้วย อันประกอบได้กับกุศลจิตที่มีปัญญาเท่านั้น หาใช่โลภะเจตสิกไม่ เพราะโลภะเจตสิก จะประกอบในโลภะมูลจิต เป็นอกุศล
ผู้ที่เคยฟังธรรม ศรัทธาแล้วในคำสอนของพระพุทธองค์ เห็นจริงแล้วในทุกข์ มีความปรารถนาที่จะพ้นจากทุกข์ ก็ขวนขวายทำเหตุให้ตรง อย่างนี้เป็นกุศล
หากแต่ว่า ไม่เคยตั้งใจอธิษฐานเลย เป้าหมายนี้ก็ไม่เกิด บุญกุศลใดๆที่ท่านได้ทำไว้แล้ว ก็ได้แต่รอส่งผลให้เป็นกุศลวิบากชาติแล้วชาติเล่า ก็ไม่น้อมมาสู่เหตุปัจจัยที่จะเป็นไปเพื่อพระนิพพาน เพื่อการสิ้นทุกข์ได้เลย ดังนั้น หนึ่งในบารมีทั้งสิบ ก็จึงมี "อธิษฐานบารมี"
ด้วย
หากไม่มีก็ไม่เป็นไปเพื่อความพ้นการเกิดได้เลย

ดังนั้น หากท่านเข้าใจเหตุผลนี้แล้ว และปรารถนาการดับทุกข์ ก็จงพึงตั้งจิตอธิษฐานด้วยดีเถิด พร้อมทั้งกระทำเหตุให้ตรงกับผลที่ปรารภด้วย หากมีแต่การอธิษฐานแต่ไม่น้อมไปในการสร้างบารมีใดๆเลย ก็ไม่อาจจะสำเร็จได้ และการสร้างบารมีนั้น ต้องใช้เวลานานเหลือเกิน ระหว่างทางที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่นั้น กุศลในอดีตก็จะได้อุปการะให้ท่านได้มีโอกาสศึกษาและปฏิบัติอย่างถูกหนทาง และความเป็นไปในชีวิตก็จะสะดวก เพราะบารมีทั้งหลายที่ทำไว้แล้ว ทำให้ชีวิตไม่กันดาร สะดวกต่อการเจริญบารมียิ่งๆขึ้นไป

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสต์ เมื่อ: 08 ธ.ค. 2008, 11:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ค. 2008, 14:11
โพสต์: 839

ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


อฐิษธานซิจ๊ะ จะให้3ข้อ.........เพี้ยงเป็นจริงๆๆๆๆ
ผมเองอฐิษธาน แล้วเป็นจริง วันที่10ธันวา ลางานได้ ตามที่อฐิษธาน
จะไปแลวงบุญเดินธุดงคตามพระอาจาร หลวงพ่อวิริยังค วัดธรรมมงคล
การนี้ผลบุญนี้ขอแบ่งบุญกุศลให้ถึงคุณอาจารย คุณ พ่อ แม่.พี่น้องเพือ่นๆชาวลานธรรมและลานเวปอื่นๆ
เพื่อนๆพี่น้องและท่านเวปมาสเตอรขอจงโมทนาส่วนบุญเอาเถิด....สาธุ....

.....................................................
ทำดีทุกทุกวัน เมื่อโอกาสมา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร