วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 21:58  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 70 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2008, 18:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุยกันทีละประเด็นนะครับ

ที่ว่า "รู้แค่ไหน ก็แนะนำได้แค่นั้น"

หมายถึงใครครับ หมายถึงผู้แนะนำหรือผู้ได้รับคำแนะนำ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2008, 18:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ว่างเปล่า

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 24 ธ.ค. 2008, 21:34, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2008, 18:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ว่างเปล่า

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 24 ธ.ค. 2008, 21:34, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2008, 18:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอบประเด็นแรกก่อนสิครับ ว่าหมายถึงผู้ให้คำแนะนำหรือหมายถึงผู้ได้รับคำแนะนำ :b1:
ทำความเข้าใจกันเป็นเปราะๆ ไป เหมือนขึ้นนับไดทีละขั้นๆไงครับ ข้ามขั้นเดี๋ยวเส้นพลิกน่ะ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 20 ธ.ค. 2008, 20:10, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2008, 18:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
เชิญบ้า ต่อไปคนเดียวเถอะ อยากจะบ้าแค่ไหนก็บ้าไป ตนอื่นเขาพูดคำสองคำก็รู้เรื่องแล้ว นี่อะไร พูดเท่าไรก็ไม่รู้เรื่อง คิดว่า คุญคนละภาษาก็ไม่ใช่ ภาษาไทยแท้ๆ หรือว่า จะแปลคำว่า " อเสวนาจพาลานัง " ไม่ออกก็ไม่น่าจะใช่ เชิญออกแขก เล่นลิเกไปตามบทที่คุรต้องการเถอะ ดิฉันจบแล้ว แต่ถ้าจะมาเพื่อแพร่เชื้อบ้าใส่ดิฉัน เสียใจด้วย ไม่บ้าไปตามคุณหรอก

ธรรมะสวัสดี


คุณล่ะก็เป็นสะเงี้ย พูดกำกวม ผู้ฟังไม่เข้าใจถามกลับก็ไม่ตอบ แล้วก็ว่าผู้ฟังบ้า :b7:
ตอบก่อนสิครับว่าหมายถึงใคร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2008, 18:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ใครจะไปตรัสรู้เองได้ว่า คำพูดว่า "รู้แค่ไหน ก็แนะนำได้แค่นั้น" หมายถึงผู้ฟังหรือผู้พูดให้เขาฟัง

รู้แค่ไหน ก็แนะนำได้แค่นั้น หมายถึงใคร :b1: :b41:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2008, 19:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก็คุณวลัยพรว่า รู้แค่ไหน ก็แนะนำได้แค่นั้น

ถ้าจะให้สันนิฐาน “รู้แค่ไหน ก็แนะนำได้แค่นั้น” หมายถึงคุณวลัยพร หรือกรัชกาย รู้แค่นั้นก็แนะนำเขา
แค่นั้น ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็ โอ เค คือแนะนำไปเท่าที่ตนรู้ แล้วผู้ฟังไปตัดสินใจเอาเอง

แต่เหตุดังกล่าวมีสองฝ่าย คือผู้ให้คำแนะนำฝ่ายหนึ่ง กับผู้รับคำแนะนำอีกฝ่ายหนึ่ง
ซึ่งกำลังสนทนาธรรมปฏิบัติกันและกันอยู่ ในประเด็นสภาวธรรมที่เกิดจากการปฏิบัติกรรมฐาน
หากเป็นตามข้อสันนิฐานนี้ คุณวลัยพรก็น่าจะบอกว่าใคร ฝ่ายไหนที่รู้แค่ไหน ก็แนะนำได้แค่นั้น
คำพูดกำกวม ครั้นถามเพื่อความชัดเจนนอกจากไม่ตอบแล้ว ยังมาว่าเราบ้า ว่าออกแขกเล่นลิเกอีก
ผู้ชายอะไรใจน้อยจัง :b1:

ดูดิน่ะไปฟ้องตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (ทำกับข้าวปลด เป็นกบฏปล่อย) เอ้ย เว็บมาสเตอร์ ตีความอีก :b1: :b21:

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=11&t=19690

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2008, 22:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ค. 2008, 13:47
โพสต์: 288


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ดูดิน่ะไปฟ้องตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (ทำกับข้าวปลด เป็นกบฏปล่อย) เอ้ย เว็บมาสเตอร์ ตีความอีก

พี่กรัชกาย ชอบดิสเครดิตศาลประจำ

เดี๋ยวก็โดนข้อหาหมิ่นศาลหรอก

ผมดูอยู่นะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2008, 22:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


นึกอยู่แล้วว่าจะเลี้ยวเข้ามาทางนี้น่ะคับ
555

ซื้อหวยบาปไหมนี่ มีความรู้สึกว่าจะรวยมากๆ
:b13: :b13: :b13:

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2008, 22:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คงจะได้อพินยา :b1: :b14:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2008, 10:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คุณกรัชกาย ...
แพร่มรำพันไม่เลิกเลยนะ อยากได้ จัดให้ ....


เปิดปฏิทินดู อ้อ วันนี้วันไหว้บัวลอย ถึงว่าเมื่อ คืน คุณวลัยพรจัดขนมบัวลอยให้เป็นชุดๆ
จนนับไม่ทัน สีสันสวยดี ขอบคุณนะครับ

เมื่อคืนอ่านไม่ทัน มาอ่านๆดูแล้ว :b9: จนน้ำตาไหล คุณเคยพูดไว้เองมิใช่รึว่า โกรธคือโง่ โมโหคือบร้า...นี่แหละน้าถึงว่า ..มันไม่ง่ายเหมือนปากพูดหรอก

อ้างคำพูด:

ก่อนจะเอ่ยคำว่า " สงสาร " กับผู้อื่นนั้น หัดสงารตัวเองให้มากๆก่อน ยังจอินกับบทลิเก ไม่เลิก หรือว่า เล่นจนติดเสียแล้ว


คำว่า “สงสาร” ...จะบอกให้ฟังว่ามีที่มาอย่างไร คุณว่ากรัชกายเหมือน ไชยา มิตรชัย กรัชกายก็ว่าคุณเหมือนแม่ยก ซึ่งนั่งร้องไห้บ้าง หัวเราะ บ้าง ชอบใจบ้าง โกรธบ้างอยู่หน้าเวที
ร้องไห้โกรธแค้นเมื่อเห็นตัวโกงทำร้ายทุบตีเอาดาบเสียบจั๊กแร้พระเอกบาดเจ็บแล้วชิงเอานางเอกไป...เดี๋ยว
ก็หัวเราะชอบใจปรบไม้ปรบมือโห่ร้องดีใจ เพราะพระเอกฟัดฟันดาวร้ายตายอย่างทรมาน แล้วรับเอานางเอกสู่อ้อมใจไชยา ฯลฯ
สรุปเรื่องนั้นทั้งเรื่องแม่ยกคือคุณวลัยพรนั่งหัวเราะ-ร้องไห้-เหมือนคนบร้า :b2: :b41:

กรัชกายจึงกล่าวคำว่าสงสารคุณ เพราะเห็นแววก่อนหน้านั้นแล้ว ไปทบทวนดูที่

viewtopic.php?f=1&t=19132&st=0&sk=t&sd=a&start=150

จึงเป็นที่มา.. (แต่ดูๆ แล้วเริ่มสงสาร :b8: ผ่านไปเถอะครับ ไว้กรัชกายแก้ปัญหาให้คุณอวบอั๋นเอง" :b1:)

คุณไปดู คห.ก่อนหน้านั้นสิครับ กรัชกายกะจะปั่นความคิดคุณให้วุ่นวายขึ้นๆลงๆ เหมือนไชยา มิตรชัย ปั่นความรู้สึกแม่ยก แต่ก็เห็นว่าจะเสียเวลาและเกรงใจคุณอวบอั๋นซึ่งติดตามเราอยู่ด้วย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 27 ธ.ค. 2008, 05:18, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2008, 11:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(พึงทราบเกี่ยวสัญญาเล็กน้อย)

สัญญา โดยทั่วไปเป็นปริญไญยธรรม คือเป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้ หรือทำความรู้จักมันตามสภาวะ

ของมันเท่านั้น * แต่สัญญาเจือกิเลสหรือปปัญจสัญญา เป็นปหาตัพพธรรม คือ สิ่งที่ควรละหรือกำจัด

ให้สิ้นไป **

ส่วน สัญญาที่ช่วยส่งเสริมการพัฒนาความรู้และส่งเสริมกุศลธรรม เป็นภาเวตัพพธรรม คือ สิ่งที่ควรเจริญ

ควรทำให้เกิดให้มี และให้เพิ่มพูนขึ้นจนใช้ประโยชน์ได้บริบูรณ์ **

........

หลังฐานอ้างอิง

* สัญญาทั่วไปเป็นปริญไญยธรรม เช่น ขุ.ปฏิ.31/58/33

** ดู องฺ.ฉกฺก.22/381/497 ; และที่ องฺ. นวก. 23/205/365; 207/371 ฯลฯ
สัญญาที่เป็นภาเวตัพพธรรม อาจเรียกชื่อว่า วิชชาภาคิยสัญญา (สัญญาที่ให้เกิดวิชชา) ตามนัย องฺ.ฉกฺก. 22/306/373 บ้าง ว่านิพเพธภาคิยสัญญา (สัญญาที่ช่วยให้ทำลายกิเลส) ตามนัย
สํ.อ. 3/45 บ้าง และบางแห่งเรียก กุศลสัญญา บางแห่งเรียกอวิปริตสัญญา (สัญญาที่ไม่
วิปริต) ตาม เนตติ. 175 บ้าง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2008, 11:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(พึงศึกษาความหมายของปัญญาและการทำงานสัมพันธ์กันขององค์ธรรม)


ปัญญา * แปลกันมาว่า ความรอบรู้
เติบเข้าอีกว่า ความรู้ทั่ว ความรู้ชัด คือ รู้ทั่วถึงความจริง หรือ รู้ตรงตามความเป็นจริง

ท่านอธิบายขยายความกันออกไปต่างๆ เช่นว่า รู้เหตุผล รู้ดีรู้ชั่ว รู้ถูกรู้ผิด รู้ควรไม่ควร รู้คุณรู้โทษ
รู้ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ รู้เท่าทันสังขาร รู้องค์ประกอบ รู้เหตุปัจจัย รู้ที่ไปที่มา รู้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งทั้งหลาย รู้ตามความเป็นจริง รู้ถ่องแท้ เข้าใจถ่องแท้ รู้เข้าใจสภาวะ รู้คิด รู้พินิจพิจารณา รู้วินิจฉัย รู้ที่จะจัดแจงจัดการหรือดำเนินการหรือดำเนินการอย่างไร ๆ

แปลกันอย่างง่ายๆ พื้นๆ ปัญญา คือความเข้าใจ (หมายถึงเข้าใจถูก เข้าใจชัด หรือเข้าใจถ่องแท้)
เป็นการมองทะลุสภาวะ หรือ มองทะลุปัญหา ปัญญาช่วยเสริม สัญญา และวิญญาณ ช่วยขยาย
ขอบเขตของวิญญาณให้กว้างออกไปและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ส่องทางให้สัญญามีสิ่งกำหนดหมายรวมเก็บได้มากขึ้น เพราะเข้าใจเพียงใด ก็รับรู้และกำหนดหมายในวิสัยแห่งความเข้าใจเพียงนั้น เหมือนคิดโจทย์เลขคณิตข้อหนึ่ง เมื่อยังคิดไม่ออก ก็ไม่มีอะไรให้รับรู้ และ กำหนดหมายต่อไปได้ ต่อเมื่อเข้าใจ
คิดแก้ปัญหาได้แล้ว ก็มีเรื่องให้รับรู้และกำหนดหมายต่อไปอีก

ปัญญา ตรงข้ามกับโมหะ โมหะ แปลว่า ความหลง ความไม่รู้ ความเข้าใจผิด สัญญาและวิญญาณหาตรงข้ามกับโมหะไม่ อาจกลายเป็นเหยื่อของโมหะไปด้วยซ้ำ เพราะเมื่อหลง เข้าใจผิดอย่างใดก็รับรู้และกำหนดหมายเอาไว้ผิดๆ อย่างนั้น ปัญญาช่วยแก้ไขให้วิญญาณและสัญญาเดินถูกทาง


พระสารีบุตร เคยตอบคำถามเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างวิญญาณกับปัญญาว่า คนมีปัญญารู้
(= รู้ชัด, เข้าใจ) ว่านี้ทุกข์ นี้เหตุแห่งทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ทางให้ถึงความดับทุกข์

ส่วนวิญญาณรู้ (= รู้แยกต่าง) ว่าเป็นสุข รู้ว่าเป็นทุกข์ รู้ว่าไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์

แต่ทั้งปัญญา และ วิญญาณนั้นก็เป็นองค์ธรรมที่ปนเคล้า หรือ ระคนกันอยู่ ไม่อาจแยกออกบัญญัติ
ข้อแตกต่างกันได้ กระนั้นก็ตาม ความแตกต่างก็มีอยู่ในแง่ที่ว่า ปัญญาเป็นภาเวตัพพธรรม
คือ เป็นสิ่งที่ควรฝึกอบรมทำให้เจริญขึ้น ให้เพิ่มพูนแก่กล้าขึ้น

ส่วนวิญญาณเป็นปริญไญยธรรม คือ เป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้หรือทำความรู้จักให้เข้าใจ รู้เท่าทันสภาวะและลักษณะของมันตามความเป็นจริง (ม.มู.12/494/536)

ในคัมภีร์รุ่นอรรกถา เช่น วิสุทธิมรรค (วิสุทธิ. 3/1) เป็นต้น อธิบายความแตกต่างระหว่างสัญญา วิญญาณและปัญญาไว้ว่า สัญญา เพียงรู้จักอารมณ์ว่า เขียว เหลือง เป็นต้น (คือ รู้อาการของอารมณ์) ไม่อาจให้ถึงความเข้าใจลักษณะ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้

วิญญาณ รู้อารมณ์ว่า เขียว เหลือง เป็นต้นได้ด้วย ทำให้ถึงความเข้าใจลักษณะว่า อนิจจัง
ทุกขัง อนัตตาได้ด้วย (คือ เข้าใจตามที่ปัญญาบอก) แต่ไม่อาจส่งให้ถึงความปรากฏแห่งมรรค
(คือ ให้ตรัสรู้อริยสัจไม่ได้)

ส่วนปัญญาทั้งรู้อารมณ์ ทั้งให้ถึงความเข้าใจลักษณะ และทั้งส่งให้ถึงความปรากฏขึ้นแห่งมรรค
อุปมาเหมือนคน ๓ คน มองดูเหรียญกษาปณ์ สัญญาเปรียบเหมือนเด็กยังไม่เดียงสามองเห็นเหรียญแล้วรู้
แต่รูปร่าง ยาว สั้น เหลี่ยม กลม สี และลวดลายแปลกๆ สวยงามของเหรียญนั้น ไม่รู้ว่าเป็นของที่เขาตกลงกันใช้เป็นสื่อการแลกเปลี่ยนซื้อขาย

วิญญาณ เปรียบเหมือนชาวบ้านเห็นเหรียญแล้ว รู้ทั้งรูปร่างลวดลาย และรู้ว่าใช้เป็นสื่อการซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ แต่ไม่รู้ซึ้งลงไปว่า เหรียญนี้ปลอม มีโลหะอะไรผสมกี่ส่วน

ปัญญา เปรียบเหมือนเหรัญญิกซึ่งรู้ทุกแง่ที่กล่าวมาแล้ว และรู้ชำนาญจนกระทั้งว่า จะมองดูก็รู้ ฟังเสียงเคาะก็รู้ ดมชิม หรือเอามือชั่งดูก็รู้ รู้ตลอดไปถึงว่า เหรียญนี้ทำที่นั้นๆ ผู้ชำนาญคนนั้นๆทำ

อนึ่ง ปัญญาไม่ได้เกิดขึ้นเสมอไป บางทีมีแต่สัญญาและวิญญาณ หาได้มีปัญญาด้วยไม่ แต่คราวใดมีปัญญาเกิดร่วมด้วยกับสัญญา และ วิญญาณ คราวนั้นก็ยากที่จะแยกให้เห็นความแตกต่างจากกันและกัน


ดูตัวอย่างประกอบความเข้าใจ


เมื่อชาลีและกัณหา เดินถอยหลังไปซ่อนตนในสระน้ำ ด้วยเข้าใจว่าผู้ตามหาเห็นรอยเทาแล้วจะเข้าใจว่า
เธอทั้งสองขึ้นมาแล้วจากสระน้ำ ความคิดที่ทำเช่นนั้นก็เรียกว่า เป็นปัญญา

ต่อมาเมื่อพระเวสสันดรทอดพระเนตรเห็นรอยเท้าของเธอทั้งสองแล้วทรงทราบทันทีว่า ลูกทั้งสองเดินถอยหลังลงไปซ่อนอยู่ในสระน้ำ เพราะมีแต่รอยเท้าเดินขึ้นอย่างเดียว ไม่มีรอยลง อีกทั้งรอยนั้นก็กดลงหนักทางส้น
เท้า ความรู้เท่าทันนี้ก็เรียกว่า ปัญญา

ในสองกรณีนี้ จะเห็นได้ว่าปัญญามีความรอบคอบและลึกซึ้งกว่ากัน ซึ่งเกี่ยวพันไปถึงการที่ปัญญาใช้
ประโยชน์จากสัญญาด้วย

ปัญญา เป็นคำกลางสำหรับความรู้ประเภทที่กล่าวมานี้ และปัญญานั้นมีหลายชั้นหลายระดับ เช่น
ที่แบ่งเป็นโลกียปัญญา โลกุตรปัญญา เป็นต้น

มีคำศัพท์หลายคำ ที่ใช้ความหมายจำเพาะ หมายถึงปัญญาในขั้นใดขั้นหนึ่ง ระดับใดระดับหนึ่ง แง่ใดแง่หนึ่ง หรือเนื่องด้วยกิจเฉพาะ คุณสมบัติเฉพาะหรือประโยชน์เฉพาะบางอย่าง
จะนำชื่อของปัญญาให้ดูเป็นตัวอย่าง เช่น ญาณ วิชชา วิปัสสนา สัมปชัญญะ ปริญญา อภิญญา ปฏิสัมภิทา อัญญา พุทธิ โพธิ สัมโพธิ ฯลฯ

....

สังเกตศัพท์ สัมปชัญญะ กับ วิปัสสนา ที่นำมาสนทนากันบ่อยๆซึ่งก็คือปัญญา นั่นเอง

* ปัญญา มักแปลกันว่า wisdom หรือ understanding

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2008, 11:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(ดูความหมายโมหะซึ่งตรงข้ามกับปัญญาอีกศัพท์หนึ่ง)

โมหะ คือ ความหลง ความไม่รู้ เป็นไวพจน์ของคำว่า อวิชชา หมายถึงความไม่รู้ตามความเป็นจริง
ไม่รู้ตรงตามสภาวะ เป็นภาวะตรงข้ามกับปัญญา โดยเฉพาะปัญญาที่เรียกชื่อเฉพาะว่า วิชชา

พูดอย่างสามัญว่า โมหะหรืออวิชชา คือความไม่รู้นี้ เป็นภาวะพื้นเดิมของคนซึ่งจะต้องกำจัดให้หมดไป
ด้วยวิชชา คือ ความรู้ หรือด้วยการฝึกอบรมเจริญปัญญา

อย่างก็ตาม แม้จะเล่าเรียนศิลปวิทยาต่างๆมากมาย และใช้ศิลปวิทยาเหล่านั้นทำกิจประกอบต่างๆ
ได้มากมาย แต่ถ้าไม่ช่วยให้เข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง ไม่มองเห็นสังขารธรรมทั้งหลาย
หรือ โลกและชีวิตตามสภาวะของมันแล้ว ศิลปวิทยาเหล่านั้น ก็เป็นเพียงสุตะ คือสิ่งที่สดับถ่ายทอด
กันไปเท่านั้น ยังไม่เป็นปัญญาแท้จริง ไม่สามารถกำจัดโมหะหรืออวิชชาได้ และไม่อาจแก้ปัญหา
พื้นฐานของชีวิตได้สำเร็จ บางทีจะแก้แต่กลายเป็นก่อปัญหาขึ้นใหม่ เหมือนคนต้องการแสงสว่าง แสวงหา
รวบรวมฟืนและเชื้อไฟชนิดต่างๆมามากมาย ถึงจะรวบรวมได้เท่าใด และจะปฏิบัติอย่างไรต่อฟืนและเชื้อ
ไฟเหล่านั้น จะตกแต่งประดับประดาประดิดประดอยอย่างไร แต่ตราบใดที่ยังมิได้จุดไฟขึ้น ก็ไม่อาจให้
แสงสว่างเกิดขึ้นได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2008, 13:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:
สาธุ คุณกรัชกาย แนะนำมามาก แต่ แมวฯ รู้น้อย คงรับได้แค่นี้ค่ะ :b9:

ขอโทษค่ะ ล้อเล่น... ติดพัน คห.ต้นๆน่ะค่ะ แต่ก็เอาใจช่วยทั้งพระเอกลิเกและแม่ยกค่ะ (ของมันคู่กัน หุ หุ)

โกรธคือโง่...แต่...ไม่โมโห..ก้อบร้าแล้ว....เอาไงดี...

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 70 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร