วันเวลาปัจจุบัน 28 ก.ค. 2025, 01:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 35 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 02 ก.พ. 2009, 12:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณwalaipornครับ



จำเรื่องที่ผมเล่าได้ไหมครับ เรื่องเจ้าของโรงแรมแชงกริล่า ผมขอทวนความจำ:

เจ้าของโรงแรมแชงกริล่าเขายังไม่ตาย แต่ผมเห็นในจิตเลยว่า เมื่อเขาตายไปจะไปเกิดเป็นนางฟ้าที่สวยมากในสวรรค์ขั้นดาวดึงส์ ด้วยบุญที่เขาให้บ้านของเขาที่เชียงรายเป็นที่ฝึกกรรมฐานของชาวต่างชาติช่วงหนึ่ง

เจ้าของโรงแรมแชงกริล่า ชื่อ คุณ ชนิดา ในตอนนั้ผมไปสำรวจอ้อยกับคณะ 30 คน บนรถทัวร์ ผมก็นั่งสมาธิไปตลอดทาง แว็บหนึ่งผมลืมตาขึ้นมา เห็นคุณชนิดาที่นั่งอยู่ที่นั่งด้านบนทางขวามือของผม แค่จิตผมคิดว่า คุณ ชนิดา จะอ่านหนังสือผีอำเล่น 1 และเล่ม 2 ที่ผมแจกไปหรือเปล่า แค่คิด 1 วินาทีเท่านั้น ผมรู้ในจิตเลยว่าท่านจะไม่อ่าน

และจิตผมก็ดูต่อไปว่า อนาคตเมื่อท่านตายไปจะไปอยู่ที่ไหน ก็รู้ทันทีเหมือนที่เล่าไปแล้ว ตอนที่ยังไม่เล่าคือ ตอนนั้นท่านกำลังคุยกับเพื่อนเทพอีกหลายท่าน วิญญานเทพของคุณชนิดากำลังพูดถึงผม ท่านโม้ว่า

" ชั้นรู้จักท่านดี เกิดในยุคเดียวกับท่านด้วย รู้จักกันดี แต่ชั้นไม่รู้ว่า ท่านเป็น....."

ในช่วงนั้นผมเลยหัวเราะในใจ และเสียสมาธิ เพราะคิดว่าผมให้หนังสือไปก็ไม่อ่าน เล่าเรื่องปรโลกให้ฟังก็ไม่เชื่อ สนธนาธรรมก็ไม่ฟังที่ผมสอน จะสอนผมอย่างเดียว

เมื่อผมเล่าให้คุณwalaipornถึงตอนนี้ ผมเลยคิดถึงคำตรัสของพระพุทธเจ้าว่า

"ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต"

พวกคุณมีบุญมาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุตส่าใช้ขันธ์ 5 ของผมสอนพวกคุณ แต่พวกคุณกลับไม่เห็นตถาคต ไปเห็นแต่ผม และลบกระทู้ของตถาคตทิ้งเป็นว่าเล่น เพราะพวกคุณไม่เห็นธรรม จึงไม่เห็นตถาคต เห็นแต่ผม นายพลศักดิ์ วังวิวัฒน์ ก็เหมือนกับคุณ ชนิดา นั่นแหละ คิดจะสอนธรรมะบ้องตื้นของมารที่เป็นสัทธรรมปฏิรูปให้ผม แต่ไม่ยอมฟังผม จะฟังก็เพื่อจะอวดเก่ง โม้ในความรู้ที่ตนเองไม่มี เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิ


โพสต์ เมื่อ: 02 ก.พ. 2009, 16:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



อ่านคห.แล้วเจอ โลภะ โทสะ โมหะ ปะปน ผู้ยึดมั่นตัวตนก็ยึดได้อย่างเหนียวแน่นดีแท้
พญามารท่านเก่งจริงหนอ..... :b9: :b9: :b9:

กลับมาที่ กุศล - อกุศล รากเง่า

โมหะ หลอกล่อให้ก่อ อกุศล โดยหลงคิดว่า เพราะอยากให้ผู้อื่นเป็นสุข
จึงล่วงปาณาฯ อทินาฯ แม้ศีลข้ออื่นๆ ก็ด้วย โมหะครอบงำว่าดี ว่าเป็นบุญ
จึงกล้าเบียดเบียนแม้กาย วาจา ก็ไม่สำรวมระวัง

กุศลกรรมที่มีรากเง่าจากโมหะ ย่อมเป็นอกุศลกรรมทั้งในเบื้องต้นและในบั้นปลายนั่นเอง
การก่ออกุศลต่างๆแล้วคิดว่าเป็นบุญเป็นกุศล ก็เพราะจิตที่มีโมหะ- อวิชชา ปรุงแต่งให้คิดว่าเป็นกุศล
ไม่มีการฆ่าสัตว์ใดที่เป็นกุศลได้ แม้ว่าทำเพื่อช่วยให้สัตว์พ้นทุกข์ด้วยการพรากชีวิตเขา เบียดเบียนชีวิตเขา
เนื่องเพราะสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตน อยู่แล้วนั่นเอง


:b15: :b15: :b15:

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสต์ เมื่อ: 02 ก.พ. 2009, 22:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
คุณwalaipornครับ



จำเรื่องที่ผมเล่าได้ไหมครับ เรื่องเจ้าของโรงแรมแชงกริล่า ผมขอทวนความจำ:

เจ้าของโรงแรมแชงกริล่าเขายังไม่ตาย แต่ผมเห็นในจิตเลยว่า เมื่อเขาตายไปจะไปเกิดเป็นนางฟ้าที่สวยมากในสวรรค์ขั้นดาวดึงส์ ด้วยบุญที่เขาให้บ้านของเขาที่เชียงรายเป็นที่ฝึกกรรมฐานของชาวต่างชาติช่วงหนึ่ง

เจ้าของโรงแรมแชงกริล่า ชื่อ คุณ ชนิดา ในตอนนั้ผมไปสำรวจอ้อยกับคณะ 30 คน บนรถทัวร์ ผมก็นั่งสมาธิไปตลอดทาง แว็บหนึ่งผมลืมตาขึ้นมา เห็นคุณชนิดาที่นั่งอยู่ที่นั่งด้านบนทางขวามือของผม แค่จิตผมคิดว่า คุณ ชนิดา จะอ่านหนังสือผีอำเล่น 1 และเล่ม 2 ที่ผมแจกไปหรือเปล่า แค่คิด 1 วินาทีเท่านั้น ผมรู้ในจิตเลยว่าท่านจะไม่อ่าน

และจิตผมก็ดูต่อไปว่า อนาคตเมื่อท่านตายไปจะไปอยู่ที่ไหน ก็รู้ทันทีเหมือนที่เล่าไปแล้ว ตอนที่ยังไม่เล่าคือ ตอนนั้นท่านกำลังคุยกับเพื่อนเทพอีกหลายท่าน วิญญานเทพของคุณชนิดากำลังพูดถึงผม ท่านโม้ว่า

" ชั้นรู้จักท่านดี เกิดในยุคเดียวกับท่านด้วย รู้จักกันดี แต่ชั้นไม่รู้ว่า ท่านเป็น....."

ในช่วงนั้นผมเลยหัวเราะในใจ และเสียสมาธิ เพราะคิดว่าผมให้หนังสือไปก็ไม่อ่าน เล่าเรื่องปรโลกให้ฟังก็ไม่เชื่อ สนธนาธรรมก็ไม่ฟังที่ผมสอน จะสอนผมอย่างเดียว

เมื่อผมเล่าให้คุณwalaipornถึงตอนนี้ ผมเลยคิดถึงคำตรัสของพระพุทธเจ้าว่า

"ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต"

พวกคุณมีบุญมาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุตส่าใช้ขันธ์ 5 ของผมสอนพวกคุณ แต่พวกคุณกลับไม่เห็นตถาคต ไปเห็นแต่ผม และลบกระทู้ของตถาคตทิ้งเป็นว่าเล่น เพราะพวกคุณไม่เห็นธรรม จึงไม่เห็นตถาคต เห็นแต่ผม นายพลศักดิ์ วังวิวัฒน์ ก็เหมือนกับคุณ ชนิดา นั่นแหละ คิดจะสอนธรรมะบ้องตื้นของมารที่เป็นสัทธรรมปฏิรูปให้ผม แต่ไม่ยอมฟังผม จะฟังก็เพื่อจะอวดเก่ง โม้ในความรู้ที่ตนเองไม่มี เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิ
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
walaiporn เขียน:
คุณพลศักดิ์

ระลึกย้อนได้กี่ชาติล่ะคะ :b1:


4 ชาติครับ ชาติที่สำคัญที่สุดคือ ชาติที่ผมเกิดในสมัยพระพุทธเจ้า ผมเป็นพราหมณ์ในเมืองหนึ่ง เรียนกับอาจารย์ฝ่ายเถรวาท แม้หลักธรรมของท่านที่สอนผมดี แต่ผมก็ไม่เชื่อท่าน เพราะท่านตอบคำถามเรื่องพระเจ้า(พระศิวะ)ที่ผมเชื่อและนับถือไม่ได้

มีอยู่วันหนึ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาที่เมืองผม พระองค์บิณฑบาตรอยู่ ผมนั่งอยู่ด้านหน้าปะปนกับชาวเมืองคนอื่น ขณะนั้นผมกำลังคิดว่า ถ้าอาจารย์ผู้นี้ตอบผมได้หมดเปลือกเรื่องพระเจ้า ผมจะนับถือศาสนาพุทธเลย ท่านอ่านจิตผมออกมั้ง เลยมองมาที่ผม แล้วยิ้ม

ตอนนั้นจู่ๆ ผมนึกอธิษฐานจิตขอรู้เรื่องพระเจ้า และเรื่องที่พระองค์ไม่สอนให้ใครเลย (ใบไม้นอกกำมือ) การอธิษฐานต่อหน้าพระพุทธเจ้า ทำให้ผมต้องเกิดมาในชาตินี้ และสัมผัสพระนิพพานโดยบังเอิญ โดยไปยกผลบุญทั้งหมดให้สรรพวิญญาณต่างๆ ยกเงินทองทรัพย์สินทางโลกของผมให้คนอื่นหมด และขอเกษียณอายุ ยุติการทำงานทางโลกในวัย 45 ซึ่งยุคที่ชีวิตผมรุ่งเรืองสุดขีด มีรายได้ปีละ 3 ล้านบาท หยุดเพื่อว่า ตลอดชีวิตของผมต้องทำกรรมฐานแผ่เเมตตาให้สรรพวิญญาณในปรโลกที่อยู่ในอบายภูมิ

"พระกวนอิมโปรดเฉพาะคนเป็น พระตี่จั้ง(พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์)โปรดเพาะคนตาย"

พระโพธิสัตว์กวนอิมเรียกผมว่าเพื่อน ผมอาจจะเป็นอวตารปางหนึ่งของพระตี่จั้ง(พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์)ก็เป็นได้ คนอื่นกลัวผี กลัวปีศาจ กลัวเปรต แต่ผมกลับเป็นมิตรกับพวกผี ปีศาจ และเปรต พวกนี้น่าสงสารมาก จิตของเขาในตอนเป็นมนุษย์ไม่ประกอบกรรมดี ตายไปพอตกนรกแล้วพ้นมา ก็ยังต้องรับกรรมอีก

เอ้า! โม้อีกแล้ว เข้าเรื่องต่อ กฎที่พวกเราเหล่าพุทธะ(พระเจ้า)ตั้งไว้ คือ ผู้ที่จะรู้เรื่องใบไม้นอกกำมือของพระพุทธเจ้า ฯลฯ ต้องเคยสัมผัสนิพพาน ต้องบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ หรือไม่ก็ต้องเคยอธิษฐานจิตขอรู้เรื่องนี้ต่อหน้าพระพุทธเจ้า จึงจะเข้าถึงธรรมเรืองนี้ได้ เมื่อผมเข้าถึงความจริงสูงสุดนี้แล้ว นิสัยสันดานของผม เก็บความลับไม่ได้ ต้องเผยแพร่อย่างเดียว ใครจะด่าว่าตำหนิติเตียนผม ผมไม่สนอยู่แล้ว

หลักธรรมที่ผมพบจะถูกบึนทึกเก็บไว้ แต่น้อยคนจะเชื่อถือ เพราะมันเป็นความลับของฟ้าทั้งสิ้น




แค่ 4 ชาติเองหรือ คุณไม่แปลกใจบ้างเลยหรือ ว่า ทำไมคุณถึงระลึกได้แค่ 4 ชาติเอง เฮ้อ .... แล้วมาพูดว่า มีญาน ระลึกหยั่งได้ เวรกรรมของคุณจริงๆ

" เอ้า! โม้อีกแล้ว " นี่ก็ยังดีนะ ยังมีสติรู้ตัวว่า กำลัง โม้

วิบากกรรมของคุณน่ะ คุณพลศักดิ์ จึงทำให้คุณหลงไปได้ขนาดนี้

นี่ก็ยังมีการมาโม้ต่ออีก

" ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต "

พวกคุณมีบุญมาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุตส่าใช้ขันธ์ 5 ของผมสอนพวกคุณ แต่พวกคุณกลับไม่เห็นตถาคต ไปเห็นแต่ผม และลบกระทู้ของตถาคตทิ้งเป็นว่าเล่น เพราะพวกคุณไม่เห็นธรรม จึงไม่เห็นตถาคต เห็นแต่ผม นายพลศักดิ์ วังวิวัฒน์ ก็เหมือนกับคุณ ชนิดา นั่นแหละ คิดจะสอนธรรมะบ้องตื้นของมารที่เป็นสัทธรรมปฏิรูปให้ผม แต่ไม่ยอมฟังผม จะฟังก็เพื่อจะอวดเก่ง โม้ในความรู้ที่ตนเองไม่มี เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิ


คุณนี่ ... ยังไม่เข้าใจในผลพลอยได้ของสมาธิ ยิ่งคุณไปปักใจเชื่อในสิ่งที่เห็นด้วย เสร็จกิเลสมันเลย คุณยังไม่ไปถึงไหนเล๊ย คุณพลศักดิ์ ยังย่ำๆๆๆๆ แล้วก็ยังย่ำๆๆๆๆ ติดอยู่กับ อุปกิเลส ยังไม่รู้ตัวอีก

ในปัจจุบัน ผู้ที่ปฏิบัติ เห็นนิมิตกันมาก ควรพิจรณาว่า มัคคะ หรือ อมัคคะ วิปัสสนูปกิเลส เป็นที่อาศัยของตัณหา ,มานะ,ทิฏฐินั่นเอง ผู้ปฏิบัติต้องมีความรู้ว่า อมัคคะ หรือ ไม่ใช่ หนทาง เป็นเรื่องของกิเลส เพียงแต่เป็น อุปกิเลสของวิปัสสนา เท่านั้นเอง ถ้าไปยึดถือว่าเป็นของดี เป็นวิปัสสนาแท้ คือ หลงทางเสียแล้ว แต่ผู้ที่มีความรู้ด้านปริยัติสามารถนึกได้ว่า นิมิตเหล่านี้ ไม่ใช่หนทางแท้จริง ทางวิปัสสนานี้ ได้แก่ ความรู้การเกิด ดับ ของ รูป,นาม โดยอุทยัพพยญาณ ( อย่างแก่ ) เท่านั้น การเห็นนิมิตต่างๆ แสงสว่าง รัศมี พระพุทธเจ้าหรือเทวดา หรือนิมิตต่างๆที่นอกเหนือจากนี้ หาใช่ทางของ วิปัสสนาไม่ เพราะ นิมิตเหล่านั้น ยังเป็นอารมณ์บัญญัตินั่นเอง ผู้ปฏิบัติได้บำเพ็ญวิปัสสนาภาวนาจนกระทั่ง นิมิตเหล่านั้นปรากฏแล้ว ถ้าเกิดไปยินดีพอใจในนิมิตเหล่านั้น ชื่อว่า ผู้หลงทางหรือออกนอกทางวิปัสสนาที่ตนเองกำลังปฏิบัติอยู่ นิมิตที่ปรากฏนั้นไม่ใช่หนทาง ควรตั้งใจกำหนดการเกิดดับของรูป,นาม ต่อไป

การกำหนดการเกิดดับรูปนาม ก็มีแต่การเจริญสติปัฏฐาน 4 เท่านั้น หาใช่แค่การนั่งสมาธิภาวนาอย่างเดียวไม่ ตราบใดที่ยังมีนิมิต นี่ยังอีกห่างไกล เสียเหลือเกิน

ขอบอกกว่า สิ่งที่คุณเล่ามาทั้งหมดนั้น มันแค่จิ๊บๆเอง ถ้าสมาธิคุณแข็งแกร่งมากกว่านี้ ระลึกได้แค่ 4 ชาติน่ะยังน้อยไปซะด้วยซ้ำ แล้วการรู้วาระจิตของคนอื่นน่ะ มันแค่ของเด็กเล่น เท่านั้นเอง แทนที่จะคิดเจริญสติให้ต่อเนื่อง กลับไปเกิดอุปทานยึดมั่นถือมั่นในนิมิตนั้นอีก มันเป็นวิบากกรรมของคุณแท้ๆ แถมนี่ยังได้สร้างกรรมใหม่ให้เกิดขึ้นอีก คุณอาจจะคิดว่าคุณกำลังสร้างกุศล นั่นมันเป็นเพียงแค่ความคิดของคุณเท่านั้นเอง เรื่อง เจ้าแม่กวนอิม ปางต่างๆน่ะ แม้แต่เรื่องต่างๆที่คุณนำมาเล่า ดิฉันเคยอ่านเจอมาหมดแล้ว คุณน่ะกำลังหลอกตัวเอง

สัตว์ทั้งหลาย มีกรรมเป็นของๆตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเครื่องจำแนก ให้เห็นว่า มนุษย์ จะดีหรือชั่ว จะร่ำรวยหรือยากจนเข็ญใจ จะรูปงามหรือต่ำทราม จะลงนรกหรือได้ขึ้นสวรรค์ จะเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ หรือ จะหลุดพ้น ไปสู่พระนิพพาน ก็ด้วย กรรม คือ การกระทำของตนทั้งสิ้น

ทั้งนี้ ไม่มีพระเจ้าองค์ใดจะบันดาลให้ได้ แม้พระพุทธเจ้า ผู้รู้แจ้งโลกทั้ง 3 ก็เป็นแต่ผู้แนะนำสั่งสอน ชี้ให้เห็นทางถูกผิด กุศล อกุศล ให้เท่านั้น ตัวเรา มนุษย์เรา จะเป็นเพียงผู้เลือกทางเดินของตนเอง จะเลือกอย่างคนดง่ดักดานหรือจะเลือกอย่างคนฉลาดมีปัญญา ก็เป็นเรื่องของมนุษย์เองทั้งสิ้น พระพุทธศาสนา ไม่มีคำสอนให้คนหลงงมงาย แต่สอนให้รู้จักความเป็นตัวของตัวเอง เชื่อตนเอง ( แบบถูก ไม่ใช่ไปหลงนิมิต ) และให้พยายามค้นหาความเป็นจริง ในกาย ในจิต ของตน มากกว่า ดูจากภายนอก และภายนอกนั้น ยังเป็นสิ่งลวงตาอยู่ จิตมนุษย์ล้วนมี ความโลภ โกรธ หลง ตัณหา อุปทาน เป็นสัญชาติญาณประจำตัวก็ว่าได้ จึงเท่ากับมีทุนทางอกุศลเป็นทุนอยู่แล้ว เรื่องการทำชั่ว ทำบาป จึงกระทำได้ง่าย จนกระทั่งถือเป็นเรื่องธรรมดาไปก็มี คือ ทำกันจนเคยชิน เช่น การฆ่าสัตว์ เมื่อทำเป็นอาจิณ ผู้ทำก็ไม่รู้สึกถึงความผิดหรือบาปแต่อย่างใด หรือ การพูดโกหกมดเท็จ บางคนพูดจน กลายเป็นนิสัย วันไหนไม่ได้พูดมุสา จะรู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจ คล้ายขาด อะไรไปสักอย่างหนึ่ง ที่ท่านกล่าวว่า บาปทำได้ง่าย ก็เพราะมันมีบาปมากมายให้เกิด ทำได้ทุกฮดกาส ผิดกับการสร้างความดี ต้องฝืนทำ ต้องพากเพียร ต้องตั้งใจให้จริง จึงทำได้

ทั้งหมดนี่เป็นคำกล่าวของครูบาฯ ซึ่งดิฉันเห็นด้วยกับที่ท่านกล่าว ดิฉันพูดไม่เป็น เลยนำคำพูดของครูบาฯมาถ่ายทอดอีกทีหนึ่ง

กับคุณนี่ ที่ดิฉันกล้าที่จะสนทนาด้วย เพราะคุณยังเป็นผู้ที่รับฟังเหตุผลของคนอื่นๆอยู่ และที่สำคัญ คุณไม่เคยใช้ถ้อยคำหยาบคายด่าว่าใครๆ ดิฉันจึงคิดว่า ควรพูดให้คุณรู้ ดีกว่าปล่อยให้ผ่านไป เพราะยิ่งนานวัน มันยิ่งฝังลึกมากขึ้น ดิฉันเพียงพูดกับคุณในฐานะผู้ปฏิบัติด้วยกัน แล้วก็เคยเป็นสภาวะที่คุณกำลังเป็นอยู่ ณ ขณะนี้ แต่ก็ผ่านมาถึงตรงนั้นมาได้ก็เพราะการเจริญสติปัฏฐาน 4 และการทำสมาธิ อย่างต่อเนื่อง เราปฏิบัติด้านนี้ ควรมีครูบาฯอยู่ใกล้ชิด แต่ก็มีบางคน เนื่องจากเหตุที่ได้เคยกระทำมา อาจจะไปเจอครูบาฯที่ทำให้เชื่อในนิมิต และติดในนิมิต นั่นก็คือ วิบากกรรมของคนๆนั้น ที่เคยได้สร้างเหตุร่วมไว้กับครูบาฯท่านั้น

เฮ้อ ... ได้แต่บอกว่า ... ตราบใดที่ สติ สัมปชัญญะ คุณยังไม่มากพอ คุณจะผ่านตรงนี้ไปไม่ได้ อย่าติดอยู่ตรงนี้เลย อย่าไปเห็นว่าเป็นของวิเศษ มันเป็นเพียงของเล่นเท่านั้นเอง มันไม่ใช่ทางที่จะไปสู่พระนิพพานหรอก

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 02 ก.พ. 2009, 23:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณwalaipornครับ



ผมก็พยายามเลี่ยงไม่ตอบคำถามที่ไร้สาระ และหลีกเลี่ยงเรื่องความพยายามอยากอวดเก่งของคุณ แต่ถ้าไม่ตอบอีก เดี๋ยวคุณก็โดนมารสิงใจตามราวีผมอีก ผมจึงขอตอบดังนี้

1. สมถะและวิปัสสนาทั้งคู่นั่นแหละคือ สมาธิ เจโตวิมุตติที่ไม่กำเริบ ก็คือ ปัญญาวิมุตติ คุณฝึกวิปัสสนา แต่โดนมารสิงใจ เนื่องเพราะความอยากอวดเก่ง อวดเบ่งในใจของคุณ มันซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึก

2. วิปัสสนาของคุณยังอยู่ในเบื้องต้นมาก แต่พยายามจะสอนผม โดยไม่รู้ว่า ผมไปถึงระดับไหนแล้ว วิญญาณในสิงคโปร์ 4 ดวงเรียกผมว่า โพธิสัตว์กวนอิมที่เป็นผู้ชาย โพธิสัตว์กวนอิมเรียกผมว่าเพื่อน และวันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จมาเป็นขันธ์ 5 เหมือนมนุษย์ มาหาผม ยายคนหนึ่งอายุ 90 กว่า ก่อนตายฝันว่าจะได้พบพระพุทธเจ้า วันนั้นยายคนนั้นมาหาผมที่ออฟฟิซ ท่านเรียกผมว่า พระพุทธเจ้า(พุทธะ) องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียกผมว่า บารมีธรรมโพธิสัตว์มหายาน

3. คุณถาม ผมก็พูดความจริงให้ฟังเท่านั้นเอง แต่ยิ่งพูดความจริง คุณก็ยิ่งหมันไส้ เพราะความอยากอวดเก่ง อวดเบ่ง และความอิจฉาริษยาในใจของคุณ ยังมีอยู่มาก....คุณยังต้องหัดดูจิตอีกนาน อารมณ์เหล่านี้จึงจะหายไป

4. คำว่า วิปัสสนูกิเลส ถูกใช้กันมั่วไปหมด พระอริยะบุคคล แม้แต่หลวงปู่มั่น หลวงพ่อสด หลวงพ่อคง หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงปู่ทวด แม้แต่หลวงปู่ตื้อ และหลวงปู่ดู่ พวกท่านล้วนพบสิ่งที่เร้นลับทิ้งสิ้น พวกที่ปฏิบัติไม่ถึงขั้นก็ยังไปหาว่าท่านวิปัสสนูกิเลส

5. ใครล่ะไปหลงในนิมิตครับ เขาวางลงทั้งนั้น พระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญู รู้ทุกเรื่อง ท่านวางลงความรู้เหล่านั้นใช่ไหม

6. บอกตรงๆ คุณมือไม่ถึงขั้น ต้องหัดใหม่

7. "การเห็นนิมิตต่างๆ แสงสว่าง รัศมี พระพุทธเจ้าหรือเทวดา หรือนิมิตต่างๆที่นอกเหนือจากนี้ หาใช่ทางของ วิปัสสนาไม่"

หลวงปู่มั่น หลวงพ่อสด หลวงพ่อคง หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงปู่ทวด แม้แต่หลวงปู่ตื้อ และหลวงปู่ดู่ พวกท่านล้วนพบแสงสว่าง และพบพระพุทธเจ้า เทวดา มาแล้วทั้งสิ้น ไอ้พวกที่ทำสมถะไม่ถึงขั้น ทำวิปัสสนาไม่ได้เรื่อง จำคำพูดดูถูกดูแคลนตามกันมา เพื่อจะอวดเก่ง และทำเป็นหนือกว่า มาวิจารณ์ครูบาอาจารย์เสียๆหายๆ กระดูกของครูบาอาจารย์เหล่านี่ล้วนเป็นพระธาตุเกือบทั้งนั้น

คัดจากคำสอนของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ (พระมหาโพธิสัตว์) มาฝาก

แสงสว่างเป็นกิเลส ?

มีคนเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า
มีผู้กล่าวว่าการทำสมาธิแล้ว
บังเกิดความสว่างหรือ
เห็นแสงสว่างนั้นไม่ดี เพราะเป็นกิเลส
มืดๆจึงจะดี


หลวงพ่อ(หลวงปู่ดู่)ท่านกล่าวว่า

"ที่ว่าเป็นกิเลสก็ถูกแต่เบื้องแรก
ต้องอาศัยกิเลสไปละกิเลส"
(อาศัยกิเลสส่วนละเอียดไปละกิเลสส่วนหยาบ)

แต่ไม่ได้ให้ติดในแสงสว่างหรือหลงแสงสว่าง
แต่ให้ใช้แสงสว่างให้ถูก ให้เป็นประโยชน์

เหมือนอย่างเราเดินผ่านไปในที่มืดต้องใช้แสงไฟ

หรือจะข้ามแม่น้ำ มหาสมุทรก็ต้องอาศัยเรือ อาศัยแพ
แต่เมื่อถึงฝั่งแล้วก็ไม่ได้แบกเรือแบกแพขึ้นฝั่งไป"

แสงสว่างอันเป็นผลจากการเจริญสมาธิก็เช่นกัน
ผู้มีสติปัญญาสามารถใช้เพื่อให้เกิดปัญญาอันเป็นแสงสว่างภายใน
ที่ไม่มีแสงใดเสมอเหมือนดังธรรมที่ว่า

"นัตถิ ปัญญา สมา อาภา
แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี"


โพสต์ เมื่อ: 02 ก.พ. 2009, 23:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณพลศักดิ์


คำว่า วิปัสสนูกิเลส ถูกใช้กันมั่วไปหมด พระอริยะบุคคล แม้แต่หลวงปู่มั่น หลวงพ่อสด หลวงพ่อคง หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงปู่ทวด แม้แต่หลวงปู่ตื้อ และหลวงปู่ดู่ พวกท่านล้วนพบสิ่งที่เร้นลับทิ้งสิ้น พวกที่ปฏิบัติไม่ถึงขั้นก็ยังไปหาว่าท่านวิปัสสนูกิเลส


-- ใครหนอ ... ที่พูดเช่นนี้ ... เท่าที่อ่านๆที่ดิฉันโพส ไม่มีไปกล่าวถึงครูบาฯท่านหนึ่งท่านใดเลย คุณน่ะแหละที่กำลังโดน มาร มันสิง เลยมาพาลว่ากล่าวครูบาฯท่านอื่น เพราะดิฉันก็โพสไปแล้วว่า พูดไม่เป็นหรอก แต่เห็นด้วยกับคำพูดของครูบาฯท่าน เลยนำมาโพสเท่านั้นเอง เมื่อคุรอ่านแล้วคุณเกิดความไม่ชอบใจ คุณก็เลยพูดมั่วๆว่าคนโน้นคนนี้ว่าครูบาฯที่คุณเอ่ยชื่อมา มารรรรรรรรรรรรร มันสิงใจคุณจริงๆนะเนี่ย


หลวงปู่มั่น หลวงพ่อสด หลวงพ่อคง หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงปู่ทวด แม้แต่หลวงปู่ตื้อ และหลวงปู่ดู่ พวกท่านล้วนพบแสงสว่าง และพบพระพุทธเจ้า เทวดา มาแล้วทั้งสิ้น ไอ้พวกที่ทำสมถะไม่ถึงขั้น ทำวิปัสสนาไม่ได้เรื่อง จำคำพูดดูถูกดูแคลนตามกันมา เพื่อจะอวดเก่ง และทำเป็นหนือกว่า มาวิจารณ์ครูบาอาจารย์เสียๆหายๆ กระดูกของครูบาอาจารย์เหล่านี่ล้วนเป็นพระธาตุเกือบทั้งนั้น


-- กลับไปดูข้อความใหม่นะ เผื่อว่า ง่วงมาก อาจจะขาดรายละเอียดในการอ่าน

แสงสว่างน่ะ ถ้าว่าตามหลักแล้วในการปฏิบัติจริงๆ มันเป็นกุศล แต่ที่มันเป็นอกุศล เพราะความหลงของคนที่ไปยึดเอา เลยคิดว่า ตัวเองสำเร็จแล้ว มารรรรรรรรรรรรรรรร มันสิงน่ะ เลยหลง กู่ไม่กลับ ถอนตัวไม่ขึ้น

มารรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรร

. วิปัสสนาของคุณยังอยู่ในเบื้องต้นมาก แต่พยายามจะสอนผม โดยไม่รู้ว่า ผมไปถึงระดับไหนแล้ว วิญญาณในสิงคโปร์ 4 ดวงเรียกผมว่า โพธิสัตว์กวนอิมที่เป็นผู้ชาย โพธิสัตว์กวนอิมเรียกผมว่าเพื่อน และวันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จมาเป็นขันธ์ 5 เหมือนมนุษย์ มาหาผม ยายคนหนึ่งอายุ 90 กว่า ก่อนตายฝันว่าจะได้พบพระพุทธเจ้า วันนั้นยายคนนั้นมาหาผมที่ออฟฟิซ ท่านเรียกผมว่า พระพุทธเจ้า(พุทธะ) องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียกผมว่า บารมีธรรมโพธิสัตว์มหายาน

-- มีแต่เรื่องปรุงแต่งทั้งนั้น แล้วก็ขอบอกว่า ไม่เคยคิดจะสอนใคร โดยเฉพาะ พวกที่ติดนิมิต ยิ่งไม่แตะ ไม่คิดจะแตะต้องเลย เพราะมันแก้ยาก ตัวเขาเองยังไม่คิดจะแก้ แล้วจะไปยุ่งทำไม ที่พูดกับคุณนั้น เพราะเห็นว่า ยังพอสนทนากันได้ แต่ตอนนี้ มารกำลังสิงคุณ มารมันบังตาคุณ

วิปัสสนาของคุณยังอยู่ในเบื้องต้นมาก

-- อ้อ ... ขอบอกเลยนะว่า ไม่สนใจหรอกว่ามันจะมีวิปัสสนาเบื้องไหน ไม่ว่าจะเบื้องต้น เบื้อง กลาง เบื้อปลายหรือเบื้องล่าง เบื้องบน ก็สุดแต่คุรจะใช้คำสมมุติมันขึ้นมา รู้เพียงว่า ปฏิบัติแล้ว ดลภะ ดทสะ ดมหะ มันลดลงได้ก็ ดีที่สุดแล้ว

คุณจะปฏิบัติระดับไหน ทำไมจะมองไม่ออก ก็แค่คนที่ติดนิมิตธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง

เอาเถอะ ... คุณจะโพสอะไรก็โพสไป คิดว่าอยากจะพูดอะไรกับคุณก็ได้พูดไปแล้ว แค่นี้พอแล้ว

เชิญโพสต่อไปตามสบายเถอะ ไม่ได้โกรธเคืองคุณหรอกนะ พูดจริงๆ นิดเดียวก็ไม่มี แต่ที่บอกว่า มารกำลังสิงคุณนั้น พูดตามความเป็นจริงเท่านั้นเอง

อ้อ ... อย่าเที่ยวไปขุดครูบาฯ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเลย เพราะคำพูดนั้นที่นำมาโพสก็บอกไปแล้วว่า เป็นคำพูดของครูบาฯท่านอื่นๆเหมือนๆกัน แต่คุณไม่ชอบใจ เพราะมันไม่โดนใจคุณ มันก็เป็นเพียงข้อคิดเห็นเท่านั้นเอง

อโหสิกรรมกันเน้อ อย่ามาพยาบาทกัน ก็แค่ความคิดเห็นที่คิดว่าพอจะคุยกันได้ เมื่อเห็นว่า คุยแล้ว มันคุยด้วยกันไม่ได้ ก็จบ เท่านั้นเองค่ะ

อย่างน้อยก็ยังชื่นชมคุณ ที่ไม่ขาดสติมาพูดจาหยาบคายใส่กัน

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 03 ก.พ. 2009, 19:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ"walaiporn"ครับ



ผมว่า ผมจะชะลอการชี้แนะสิ่งที่เป็นในไม้นอกกำมือของพระพุทธเจ้าแล้ว จะปฏิบัติแต่สมถะและวิปัสสนาของผมต่อไป แต่ข้อเขียนจากมิจฉาทิฏฐิของคุณทำให้ผมจำเป็นต้องเขียนเรื่องใบไม้นอกกำมืออีก โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งที่พวกมารพยายามสิงใจผู้คน บิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้า และพระอริยะบุคคล

ปฏิบัติต่อไปเถอะครับ ประเด็นอื่นผมคงไม่ตอบโต้ เพราะจะไปกระทบจิตคุณ ที่ผมเขียนเพราะพระพุทธองค์ต้องการให้เขียนเพื่อทดสอบจิตของคุณว่า ก้าวไปถึงไหนแล้ว


โพสต์ เมื่อ: 03 ก.พ. 2009, 19:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ"walaiporn"ครับ


อ้อ! ลืมตอบเรื่องหนึ่งไป

อย่างน้อยก็ยังชื่นชมคุณ ที่ไม่ขาดสติมาพูดจาหยาบคายใส่กัน

ผมไม่ขาดสติหรอกครับ แต่เห็นว่ายังไม่ถึงขั้นที่ผมจะทดสอบจิตคุณโดยการพูดจาหยาบคาย ในเว็บพลังจิต ผมด่าพระไตรภพไปเลย เพื่อทดสอบว่าท่านถึงขั้นไหนแล้ว แต่ท่านหาได้โกรธไม่ ยังรู้ว่าผมแค่ทดสอบ แต่คนในเว็บคนอื่นซิครับ รุมด่าผมแหลก หาว่าไม่เคารพพระสงฆ์


โพสต์ เมื่อ: 03 ก.พ. 2009, 21:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ม.ค. 2009, 20:17
โพสต์: 15


 ข้อมูลส่วนตัว


เริ่มแรกก็คุยกันดีอยู่หรอก..พอหลายๆกระทู้เข้า..ตอบกันไปตอบกันมาเริ่มจะทะเลาะกันแระ...เฮ้ยยย..
รากเง่ากุศล-อกุศล...มนุษย์หนอ..คุยเรื่องเดียวกันแท้ๆ..งัยเป็นงี้....
ธรรมะรู้มากก็ไม่ดีนะ..เอาให้ได้สักบท..ปฏิบัติให้ได้..ขอสัก 10% ที่ดีกว่าเมื่อวานพอแระ...


โพสต์ เมื่อ: 03 ก.พ. 2009, 22:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณVJZing ทำงนในด้าน commodity หรือ สำนักข่าวอะไรหรือเปล่าครับ ชื่อนี้คุ้นหูผมจัง


โพสต์ เมื่อ: 05 ก.พ. 2009, 21:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2009, 22:30
โพสต์: 61


 ข้อมูลส่วนตัว


คุยกับคน บ้า :b14:
:b22: :b22: :b22: :b22:


โพสต์ เมื่อ: 09 ก.พ. 2009, 22:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คงได้เห็นตัวอย่าง กุศล - อกุศลกันไปบ้างแล้ว..
และ


อกุศล ได้แก่

1. ฆ่าสัตว์
2. ลักทรัพย์
3. ประพฤติผิดในกาม
4. พูดเท็จ
5. พูดส่อเสียด
6. พูดคำหยาบ
7. พูดเพ้อเจ้อ
8. อยากได้ของผู้อื่น
9. ปองร้ายเขา
10. เห็นผิด

ซึ่งรากเง่าของอกุศล ได้แก่

1. โลภะ
2. โทสะ
3. โมหะ


เช่น... ฆ่าสัตว์เหตุเพราะหวังในทรัพย์มาใช้สอยต่างๆ
มีเลี้ยงดูบิดา-มารดา,เพื่อเลี้ยงดูสามี-ภริยา-บุตร
ฆ่าสัตว์....เหตุเพราะโทสะกริ้วโกรธหรือคับแค้นใจหวังได้ระบายอารมณ์ออกไป
ฆ่าสัตว์์....เหตุเพราะหลงผิดคิดว่าทำให้สัตว์นั้นเป็นสุข..เป็นต้น
แม้ข้ออื่นก็คล้ายกัน...

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสต์ เมื่อ: 09 ก.พ. 2009, 22:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลองอ่านดูค่ะ

ถาม
ในฐานะที่เราเป็นคนจน แต่ต้องเลี้ยงดูมารดาบิดา บางครั้งก็ประพฤติผิดศีลธรรม เพื่อให้ได้เงินมาเลี้ยงดูท่าน เพราะอยากให้ท่านสุขสบาย อย่างนี้จะถือว่าเป็นบาปหรือไม่ ในเมื่อเราทำด้วยความกตัญญูกตเวที

ตอบ
ความจริงเรื่องของความกตัญญูกตเวทีเป็นเรื่องดี สมควรอย่างยิ่งที่จะทำให้เกิดมี ขึ้นในจิตใจ
โดยเฉพาะการที่เรากตัญญูกตเวทีต่อมารดาบิดานั้นควรแก่การสรรเสริญ
แต่การที่เราประพฤติผิดศีลธรรม เพื่อให้ได้เงินมาเลี้ยงดูมารดาบิดานั้นเป็น บาป
ถึงจะอ้างว่าเพื่อตอบแทนคุณมารดาบิดาก็ยังเป็นบาปอยู่ดี แม้จะอ้างว่าเพื่อมารดาบิดาก็ฟังไม่ขึ้น
บาปก็ยังคงเป็นบาปอยู่นั่นเอง ไม่มีทางแก้ไขให้เป็นอย่างอื่นได้เพื่อความกระจ่างในเรื่องนี้
ขอยกเรื่องราวในพระสูตรที่ชื่อว่า ธนัญชานิสูตร ใน ม.มัชฌิมปัณณาสก์
ข้อ ๖๗๒ มาเล่าให้ฟังดังต่อไปนี้

ในสมัยเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่พระวิหารเวฬุวัน ใกล้กรุงราชคฤห์
ท่านพระสารีบุตรได้เที่ยวจาริกไปในทักขิณาคีรีชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่

ครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่งจำพรรษาอยู่ที่กรุงราชคฤห์ได้ออกไปหาท่านพระสารีบุตร
ที่ทักขิณาคีรีชนบท ท่านพระสารีบุตรจึงได้ถามถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์
ทราบว่าเป็นสุขสบายดี จึงได้ถามถึงธนัญชานีพราหมณ์ที่อยู่ใกล้ประตูตัณฑุลปาละ ในกรุงราชคฤห์
พระอาคันตุกะรูปนั้นก็บอกว่า ธนัญชานีพราหมณ์สบายดี แต่ภรรยาของเขาซึ่งเป็น
หญิงมีศรัทธาตายเสียแล้ว เขาได้ภรรยาใหม่เป็นหญิงไม่มีศรัทธา
เขาอาศัยพระราชาเที่ยวปล้นพวกพราหมณ์และคหบดี อาศัยพวกพราหมณ์และคหบดีปล้นพระราชา

นั่นก็คือ เมื่อพระราชารับสั่งให้เขาไปเอาข้าวกล้าบางส่วนมาจากคนทั้งหลาย
โดยไม่ให้เบียดเบียนคนเหล่านั้นให้เดือดร้อน แต่ธนัญชานีพราหมณ์กลับไปรีดนาทาเร้น
เอาข้าวกล้ามาเสียทั้งหมด แม้คนเหล่านั้นจะอ้อนวอนขอร้องว่า ถ้าเอาข้าวกล้าไปหมด
พวกเขาย่อมเดือดร้อนเพราะไม่มีข้าวกล้าจะทำนา แต่พราหมณ์ก็ไม่ฟัง
อ้างว่าเป็นคำสั่งของพระราชา เพราะเหตุนั้น ภิกษุนั้นจึงกล่าวว่าธนัญชานีพราหมณ์
อาศัยพระราชาปล้นพราหมณ์และคหบดี

ครั้นพราหมณ์ได้ข้าวกล้ามาทั้งหมดแล้ว แทนที่จะนำไปถวายพระราชาทั้งหมด กลับยักยอกเก็บไว้ที่บ้านของตนเป็นจำนวนมาก นำไปถวายพระราชาแต่น้อย

พระราชาตรัสถามว่า “ท่านไปเบียดเบียนพวกพราหมณ์หรือคหบดีหรือเปล่า”

พราหมณ์ก็ทูลว่า “ข้าพระองค์มิได้เบียดเบียนคนเหล่านั้น แต่ในขณะนี้ข้าวกล้ามีน้อย ข้าพระองค์จึงเอามาแต่น้อย”

เพราะเหตุที่พราหมณ์อ้างดังนี้ ภิกษุรูปนั้นจึงกล่าวว่า “ธนัญชานีอาศัยพราหมณ์
และคหบดีปล้นพระราชา คือโกงพระราชา” ท่านพระสารีบุตรฟังคำเล่าเช่นนั้นแล้ว

ก็กล่าวว่า “ธนัญชานีพราหมณ์เป็นผู้ประมาทเสียแล้ว เราควรจะไปหา
คือไปเตือนธนัญชานีพราหมณ์” ด้วยเหตุนี้ เมื่อท่านพระสารีบุตรอยู่ที่ทักขิณาคีรีชนบท
พอสมควรแล้วก็ได้กลับไปพักที่พระวิหารเวฬุวัน กรุงราชคฤห์

ครั้นเวลาเช้า ท่านพระสารีบุตรเข้าไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์แล้ว
กลับจากบิณฑบาตภายหลังภัตแล้วได้ไปหาธนัญชานีพราหมณ์ถึงที่อยู่
ในขณะที่เขากำลังให้คนรีดนมโคอยู่ เขาเห็นท่านพระสารีบุตรเดินมาแต่ไกล
ก็ร้องนิมนต์ให้ดื่มน้ำนมสด แต่ท่านพระสารีบุตรปฏิเสธว่า
ฉันฉันเรียบร้อยมาแล้ว ฉันจะไปพักที่โคนต้นไม้โน้น ท่านพึงไปที่นั่น

ธนัญชานีพราหมณ์จึงเข้าไปหาท่านพระสารีบุตร นั่ง ณ ที่ควร

เมื่อท่านพระสารีบุตรถามว่า “ท่านยังเป็นผู้ไม่ประมาทอยู่หรือ”

ธนัญชานีตอบว่า “ที่ไหนได้ท่านพระสารีบุตร ข้าพเจ้าเป็นผู้ประมาท

เพราะต้องเลี้ยงดูมารดาบิดา บุตรภรรยา ข้าทาสบริวาร
ต้องทำกิจการงานสำหรับมิตรอำมาตย์ ญาติสาโลหิต ตลอดจนแขกผู้จรมา
ทำบุญอุทิศให้บุพเปตชน บวงสรวงเทวดา
ทำราชการให้หลวง แม้กายนี้ก็ต้องให้อิ่มหนำ ต้องให้เจริญ”

ท่านพระสารีบุตรฟังแล้วกล่าวว่า “ท่านเข้าใจว่าอย่างไร

บุคคลบางคนในโลกนี้ประพฤติไม่ชอบธรรม ประพฤติผิดธรรม เพราะเหตุแห่งมารดาบิดา
นายนิรยบาลจะพึงฉุดคร่าเขาไปยังนรก เพราะกรรมนั้น เขาจะขอร้องอ้อนวอนว่า

เราประพฤติไม่ชอบธรรม เพราะเหตุแห่งมารดาบิดา
นายนิรยบาลอย่าฉุดคร่าเราไปลงนรกเลย

หรือมารดาบิดาจะขอร้องนายนิรยบาลว่า บุตรของเราประพฤติไม่ชอบธรรม
เพราะเหตุแห่งเราทั้งสอง ขอนายนิรยบาลอย่าพึงฉุดคร่าเขาไปลงนรกเลย
นายนิรยบาลจะฟังคำขอร้องของเขาหรือไม่”


ธนัญชานีพราหมณ์กล่าวว่า “แม้ผู้นั้นจะคร่ำครวญมากมายประการใด
นายนิรยบาลก็ต้องโยนเขาลงนรกจนได้”

จากนั้น ท่านพระสารีบุตรก็ถามต่อไปทีละอย่างๆ ว่า

“ถ้าหากว่า บุคคลนั้นประพฤติผิดธรรม เพราะเหตุแห่งบุตรภรรยา
ข้าทาสกรรมกรคนรับใช้ เพราะเหตุแห่งมิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิต
เพราะเหตุแห่งแขกผู้จรมา เพราะเหตุแห่งบรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว
เพราะเหตุแห่งเทวดา เพราะเหตุแห่งราชการของพระราชา
เพราะเหตุแห่งการบำรุงร่างกายของตนให้อิ่มหนำให้เจริญ
บุคคลนั้นจะพึงขอร้องนายนิรยบาลไม่ให้ฉุดเขาลงนรกได้หรือไม่”

พราหมณ์ตอบว่า “ไม่ได้ แม้เขาจำคร่ำครวญอย่างไร
นายนิรยบาลก็ต้องฉุดคร่าเขาลงนรกจนได้”

ท่านพระสารีบุตรฟังดังนั้นแล้ว จึงถามว่า “บุคคลผู้ประพฤติไม่ชอบธรรม
ประพฤติผิดธรรมเพราะเหตุแห่งมารดาบิดา กับประพฤติชอบธรรม
ประพฤติถูกธรรมอย่างไหนจะดีกว่ากัน ประเสริฐกว่ากัน”


ธนัญชานีพราหมณ์ก็ตอบว่า “ผู้ประพฤติไม่ชอบธรรม
ประพฤติผิดธรรมเพราะเหตุแห่งมารดาบิดา ไม่ประเสริฐเลย ส่วนผู้ประพฤติชอบธรรม
ประพฤติถูกธรรมเพราะเหตุแห่งมารดาบิดา ประเสริฐกว่า”


ท่านพระสารีบุตรจึงกล่าวว่า “การงานอย่างอื่นที่ชอบธรรม
ซึ่งคนทั้งหลายอาจเลี้ยงดูมารดาบิดาได้ ไม่ต้องทำกรรมลามกเป็นบุญเป็นกุศลมีอยู่”


กรรมที่ชอบธรรมเป็นบุญเป็นกุศลนั้นก็คือ
กรรมที่สุจริตทางกาย ๓ ทางวาจา ๔ ทางใจ ๓ รวมเป็น ๑๐
ซึ่งก็คือประพฤติแต่กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการนั่นเอง
คือไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม
ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ
ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของของผู้อื่นมาเป็นของตน
ไม่คิดพยาบาทปองร้ายผู้อื่น
ไม่มีความเห็นผิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ


ส่วนการเลี้ยงชีพที่ผิดศีลธรรมก็ได้แก่เลี้ยงชีพด้วย
อกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการอันตรงกันข้ามกับกุศลกรรมบถ ๑๐ ที่กล่าวแล้ว
มีการฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ เป็นต้น จนถึงมิจฉาทิฏฐิ การเลี้ยงชีพในทางที่ผิดนั้นเป็นเหตุให้ตกนรก

ก็กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการนี้แหละที่ท่านพระสารีบุตรบอกพราหมณ์ว่า
“เป็นกรรมที่ชอบธรรมควรประพฤติ คือควรกระทำเพื่อเลี้ยงดูมารดาบิดาเป็นต้น”


ธนัญชานีพราหมณ์ฟังแล้วก็ชื่นชมอนุโมทนา กราบลาท่านพระสารีบุตรแล้วกลับไป

ต่อมา ธนัญชานีพราหมณ์ป่วยเป็นไข้หนัก ได้สั่งบุรุษคนหนึ่ง
ไปถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแทน แล้วสั่งให้ไปนิมนต์ท่านพระสารีบุตร
มาที่บ้านด้วยว่าเขาป่วยหนัก ไม่สามารถจะไปหาท่านพระสารีบุตรเองได้
ท่านพระสารีบุตรก็ได้มาตามคำนิมนต์นั้น เมื่อมาถึงถามพราหมณ์ว่า
“ยังพออดทนต่อทุกขเวทนาได้หรือไม่”
พราหมณ์ตอบว่า “ข้าแต่พระสารีบุตร ข้าพเจ้าทนไม่ไหว
ทุกขเวทนากล้านัก ไม่ทุเลาลงเลย ชีวิตของข้าพเจ้าเห็นจะเป็นไปไม่ได้
ลมเสียดแทงศีรษะกล้านัก ดุจบุรุษมีกำลังเอาเหล็กแหลมคมกดศีรษะ
เวทนาในศีรษะของข้าพเจ้าทุกข์เหลือทน เหมือนนายโคฆาตเอามีดสำหรับเชือดเนื้อโคมาเชือดท้องข้าพเจ้าฉะนั้น ในกายของข้าพเจ้าร้อนเหลือเกิน ดุจบุรุษมีกำลังมากสองคนช่วยกันจับบุรุษมีกำลังน้อยกว่าคนละแขน รมย่างไว้บนถ่านเพลิงฉะนั้น ข้าพเจ้าทนไม่ไหว ทุกขเวทนากล้านัก ทวีขึ้นไม่ลดลงเลย”
ท่านพระสารีบุตรถามว่า “นรกกับกำเนิดสัตว์เดรัจฉานไหนจะดีกว่ากัน”
พราหมณ์ตอบว่า “กำเนิดสัตว์เดรัจฉานดีกว่า”
ท่านพระสารีบุตรก็ถามต่อไปว่า “กำเนิดสัตว์เดรัจฉานกับปิตติวิสัยไหนจะดีกว่ากัน” พราหมณ์ตอบว่า “ปิตติวิสัยดีกว่า”
ท่านพระสารีบุตรถามต่อไปว่า “ปิตติวิสัยกับมนุษย์ไหนจะดีกว่ากัน” พราหมณ์ตอบว่า “มนุษย์ดีกว่า”
ท่านพระสารีบุตรถามอีกว่า “มนุษย์กับเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาไหนจะดีกว่ากัน” พราหมณ์ตอบว่า “เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาดีกว่า”
ท่านพระสารีบุตรก็ถามว่า “เทวดาชั้นสูงขึ้นไปตามลำดับจนถึง ปรนิมมิตวสวดีว่า เทวดาชั้นปรนิมมิตรสวดีกับพรหมโลกไหนจะดีกว่ากัน”
พราหมณ์ย้อนถามว่า “ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่าพรหมโลกหรือ”
ท่านพระสารีบุตรได้ฟังพราหมณ์ถามเช่นนั้น
ก็คิดว่าพราหมณ์นี้น้อมใจไปในพรหมโลก เพราะฉะนั้นเราจะแสดงทางไปพรหมโลกแก่เขา
เมื่อท่านคิดดังนี้จึงบอกให้พราหมณ์ตั้งใจฟัง เราจะแสดงทางเพื่อความเป็นสหายของพรหม
ด้วยการแสดงการเจริญพรหมวิหารสี่คือ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา

โดยแสดงว่า ภิกษุในธรรมวินัยมีใจประกอบด้วยเมตตาแผ่ไปทิศหนึ่งอยู่
ทิศที่สอง ทิศที่สาม ทิศที่สี่ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวา และตลอดโลก
ทั่วสัตว์ทุกหมู่เหล่าเพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั่วหน้า ในที่ทุกสถานด้วยใจอันประกอบ
ด้วยเมตตาอันไพบูลย์เป็นมหัคคตะ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
ข้อนี้เป็นทางเพื่อความเป็นสหายของพรหม แล้วก็แสดงการเจริญกรุณา มุทิตา
และอุเบกขา โดยทำนองเดียวกันว่า ล้วนเป็นทางเพื่อความเป็นสหายของพรหม

เมื่อท่านพระสารีบุตรแสดงทางไปพรหมโลกแก่ธนัญชานีพราหมณ์อย่างนี้แล้ว
ธนัญชานีพราหมณ์ได้กล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ขอท่านจงถวายบังคมพระบาท
ของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้าตามคำของข้าพเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ธนัญชานีพราหมณ์ป่วย ได้รับทุกข์เป็นไข้หนัก ขอถวายบังคมพระบาท
ของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้า”

ท่านพระสารีบุตรก็นำความนั้นมากราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าตามคำของพราหมณ์
และเมื่อธนัญชานีพราหมณ์ทำกาละแล้ว ก็ได้ไปเกิดในพรหมโลกชั้นต่ำ
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสบอกภิกษุทั้งหลายว่า สารีบุตรได้ประดิษฐานพราหมณ์
ไว้ในพรหมโลกชั้นต่ำ ในเมื่อกิจที่ควรทำให้ยิ่งไปกว่านี้ยังมีอยู่ นั่นคือการแสดงอริยสัจสี่
อันจะทำให้พราหมณ์ได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคล ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก
แต่การไปสู่พรหมโลกทั้งที่ยังเป็นปุถุชนนั้น ยังจะต้องกลับมาเกิดอีก ไม่อาจล่วงทุกข์ทั้งปวงได้

ท่านพระสารีบุตรก็ทูลให้ทราบว่าที่ท่านมิได้แสดงอริยสัจสี่นั้น เป็นเพราะท่านเห็นว่าพวกพราหมณ์มักน้อมใจไปพรหมโลก จึงได้แสดงทางเพื่อไปพรหมโลก
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ธนัญชานีพราหมณ์ทำกาละไปเกิดในพรหมโลกแล้ว”

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป เมื่อท่านพระสารีบุตรจะแสดงธรรม แม้แต่คาถาเดียว
ท่านก็มิได้แสดงธรรมที่นอกไปจากอริยสัจสี่ ทั้งนี้เพราะท่านมีปัญญามาก
ฟังพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเช่นนั้น ท่านก็เข้าใจและทำตาม

สรุปว่า การประพฤติชั่ว การประพฤติไม่ชอบธรรมเพื่อมารดาบิดาหรือบุตรภรรยาเป็นต้น เป็นเหตุนำไปนรก จึงไม่ควรกระทำ เพราะสัตว์ย่อมเป็นไปตามกรรม ใครทำกรรมชั่วก็ต้องรับผลชั่วโดยไม่มีข้ออ้างใดๆ เพราะถึงจะอ้าง นายนิรยบาลก็ไม่ยอม

________________________________________

ที่มา อ้างอิง และแนะนำ :-

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕

มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์

ธนัญชานิสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/book/v.ph ... 25&Z=11069

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสต์ เมื่อ: 10 ก.พ. 2009, 13:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณแมวมณีครับ



แรกเริ่มคุณมาถูกทางแล้ว โดยยกเรื่องอกุศลธรรมบท 10 และรากเง่าของอกุศล ได้แก่ 1. โลภะ 2. โทสะ 3. โมหะ แต่พอตอนหลัง คุณมาผิดทาง เพราะไปอ้างว่า

" เราเป็นคนจน แต่ต้องเลี้ยงดูมารดาบิดา บางครั้งก็ประพฤติผิดศีลธรรม เพื่อให้ได้เงินมาเลี้ยงดูท่าน เพราะอยากให้ท่านสุขสบาย อย่างนี้จะถือว่าเป็นบาปหรือไม่ ในเมื่อเราทำด้วยความกตัญญูกตเวที "

และยังยกตัวอย่างเรื่องราวในพระสูตรที่ชื่อว่า ธนัญชานิสูตร แต่เนื่องจากคุณตีความไม่ได้ ผมจึงขอตีความให้แทนนะครับ


1. พระเสารีบุตรกล่าว่า

" บุคคลบางคนในโลกนี้ประพฤติไม่ชอบธรรม ประพฤติผิดธรรม เพราะเหตุแห่งมารดาบิดา
นายนิรยบาลจะพึงฉุดคร่าเขาไปยังนรก เพราะกรรมนั้น "

คนที่ประกอบการงานไม่ชอบ 1 ปี หรือ 365 วัน = 525,600 นาที จิตเขาจะเป็นกุศลตลอดเวลาเลยได้หรือไม่ เช่น โรบินฮู๊ด คือ ตอนที่เขาเริ่มขโมยครั้งหนึ่ง แล้วเขาเอาของแจกชาวบ้าน จิตของเขาเป็นกุศลอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่พอเขาทำอีก และทำไปเรื่อยๆ 100 ครั้ง ใน 100 ครั้งที่เขาขโมย มีความเป็นไปได้น้อยมากที่ว่า จิตใต้สำนึกของเขาจะไม่นึกเป็นอกุศลเลย อาจจะมีแค่ 1 ครั้งที่มันเป็นอกุศล บาปก็เลยเกิดขึ้นแล้ว
ผมคิดว่า ด้วยเหตุดังกล่าว พระพุทธองค์จึงตรัสสอนเรื่องศีล 5 เพราะมีโอกาสน้อยมาก ที่คนที่ทำผิดศีล 5 จะไม่คิดเป็นอกุศลในครั้งหนึ่งหรือมากครั้งที่เขากระทำผิดศีล 5 ลงไป

ในกรณีตอนแรกๆ จิตยังเป็นกุศลอยู่ เช่น คุณ คิดว่าทำด้วยความกตัญญูกตเวที แต่ยิ่งถ้าทำไปเรื่อยๆ ไม่ช้าก็เร็ว จิตมันก็จะเป็นอกุศล และถูกอกุศลครอบงำในที่สุด ซึ่งจะทำให้วิญญาณของเรา ต้องตกเข้าไปสู่อบายภูมิเมื่อตายไป หรือถ้าปาปไม่หนักนัก ก็ต้องไปรับผลในชาติหน้าตามกฎแห่งกรรม


โพสต์ เมื่อ: 10 ก.พ. 2009, 19:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2009, 22:30
โพสต์: 61


 ข้อมูลส่วนตัว


พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
คุณแมวมณีครับ


ผมเคยเล่าเรื่องที่ แม่ชีทองสุข สำแดงปั้น เล่าใน ท่องเมืองนรก เปิดบัญชีบุญ-บาป เกี่ยวกับคำตัดสินของยมบาลว่า “เจ้า(ผู้หญิง) มีชู้เป็นโสเภณีเพราะผัวยอมให้ทำ ไม่บาป และไม่ต้องตกนรก"

เพราะหญิงคนนั้นขายตัวไม่กี่ครั้ง และก็ได้รับคำยินยอมจากสามีของเขาที่พิการด้วย แม้ว่ามีครั้งหนึ่งที่เธอแอบไปขายตัวโดยไม่ขออนุญาตจากสามี แต่นั่นเธอทำเพื่อนำเงินไปจ่ายค่าเทอมให้ลูก การขายตัวครั้งนั้นจึงเป็นกุศล

แต่ถ้าเธอไม่ตายก่อน และยังขายตัวไปเรื่อยๆ โอกาสที่เธอจะมีชู้จริงๆ โดยสามีมิได้ยินยอม ก็น่าจะเกิดขึ้น.....ใช่ไหมครับ? ด้วยเหตุนี้ เราต้องปลอดภัยไว้ก่อน โดยไม่ทำผิดศีล 5 ถ้าจะผิดศีล 5 จะอ้างเหตุผลเพื่อกตัญญูหรือะไรก็ตาม ก็ควรทำในบางครั้งเท่านั้น แล้วเมื่อมีโอกาสใหม่ มีงานใหม่ ก็จำเป็นต้องเลิกงานนั้น ไม่เช่นนั้นก็มีโอกาสสูงที่คุณจะมีจิตอกุศล



ก็ลองให้ญาติคุณขายตัวดูสิ มันเป็นกุศลน่ะ
สนับสนุน.... ได้บุญมากแล้วบอกด้วย


โพสต์ เมื่อ: 10 ก.พ. 2009, 22:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
คุณแมวมณีครับ


ผมเคยเล่าเรื่องที่ แม่ชีทองสุข สำแดงปั้น เล่าใน ท่องเมืองนรก เปิดบัญชีบุญ-บาป เกี่ยวกับคำตัดสินของยมบาลว่า “เจ้า(ผู้หญิง) มีชู้เป็นโสเภณีเพราะผัวยอมให้ทำ ไม่บาป และไม่ต้องตกนรก"

เพราะหญิงคนนั้นขายตัวไม่กี่ครั้ง และก็ได้รับคำยินยอมจากสามีของเขาที่พิการด้วย แม้ว่ามีครั้งหนึ่งที่เธอแอบไปขายตัวโดยไม่ขออนุญาตจากสามี แต่นั่นเธอทำเพื่อนำเงินไปจ่ายค่าเทอมให้ลูก การขายตัวครั้งนั้นจึงเป็นกุศล

แต่ถ้าเธอไม่ตายก่อน และยังขายตัวไปเรื่อยๆ โอกาสที่เธอจะมีชู้จริงๆ โดยสามีมิได้ยินยอม ก็น่าจะเกิดขึ้น.....ใช่ไหมครับ? ด้วยเหตุนี้ เราต้องปลอดภัยไว้ก่อน โดยไม่ทำผิดศีล 5 ถ้าจะผิดศีล 5 จะอ้างเหตุผลเพื่อกตัญญูหรือะไรก็ตาม ก็ควรทำในบางครั้งเท่านั้น แล้วเมื่อมีโอกาสใหม่ มีงานใหม่ ก็จำเป็นต้องเลิกงานนั้น ไม่เช่นนั้นก็มีโอกาสสูงที่คุณจะมีจิตอกุศล



โอ้ ... พระเจ้า ... พลศักดิ์ ... กำลังมาขนคนไปสวรรค์ .....

พระเจ้าช่วย .... กล้วยทอดไหม้ .... :b5:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 35 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร