วันเวลาปัจจุบัน 28 ก.ค. 2025, 06:00  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 73 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2009, 22:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ค่ะ k.กรัชกาย เราจะอ่านเฉยๆค่ะ เพราะเวลาคุณสองคนสนทนากัน เราอ่านด้วย
แปลด้วย งงไปด้วย



เราไหว้ครูกันแล้วครับ :b8: ต่อไปจะเว้ากันตรงๆซื่อๆ จะจะแบบไม่ต้องแปลครับ :b1:
คุณว่าคุณวลัยพรดุหรอครับ :b9: แต่กรัชกายว่าก็งั้นๆแหละ ถ้าจะเปรียบเหมือนของว่างก็ประมาณ
ส้มตำใส่ปูดอง :b28:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2009, 00:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
ผิดเองค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 14 มี.ค. 2009, 20:55, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2009, 00:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
ผิดเองค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 14 มี.ค. 2009, 20:55, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2009, 01:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
ผิดเองค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 14 มี.ค. 2009, 20:56, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2009, 07:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอบคุณคามิน

การที่จะทิ้ง เราจะต้องสืบสาวเข้าให้ถึงต้นตอของสมุทัย จึงจะทิ้งได้อย่างธรรมชาติ ทิ้งอย่างเป็นไปเอง ไม่ต้องฝืน จึงจะไม่อึดอัด ไม่บีบคั้นความรู้สึก

คำว่า ทิ้ง ในความเข้าใจของกรัชกาย กับของคุณ อาจไม่เหมือนกัน กรัชกายทิ้งอย่างพุทธะ แบบผู้ครองเรือน แบบพระอริยะผู้ครองเรือน (กรัชกายไม่ใช่อริยะนะบอกก่อน)แต่ทิ้งแบบพระอริยะผู้ครองเรือน ทิ้งแบบอย่างนางวิสาขา อนาถบิณฑิกเศรษฐี พระเจ้าปเสนทิโกศล เป็นต้น คือทำมาหากิน มีครอบครัว ประกอบอาชีพอยู่นี่แหละ หมายความว่า ทำหน้าที่ของสามี ทำหน้าที่ของพ่อ ของปู่ เป็นต้น แต่ใจไม่ยึดติดกับสิ่งนั้น ทำ กิน ใช้ รักษา ซ่อมแซม ฯลฯ แต่ภายในจิตใจไม่ติด

มิใช่ทิ้งอย่างที่คุณเข้าใจ คือ ทิ้งโดยไม่เอาอะไรเลย ทิ้งทีอย่างสองอย่างจนเหลือแต่ตัวนอนใต้สะพานลอย ใต้ทางด่วน :b12:
ทิ้งแบบไม่ทำอะไร ไม่ทำงานไม่ประกอบสัมมาชีพ อย่างนี้ไม่ใช่แนวคำสอนของพุทธะ
เป็นแนวสอนของนิครนถ์ เข้าใจถูกไหมขอรับ หากไม่ถูก ช่วยตอนหน่อยสิ ทิ้งในความหมายของคุณต้องยังไง

คำว่า ดี ก็เช่นกัน ดีในความหมายภาษาไทย หรือ ภาษาธรรม ?

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2009, 08:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอบคุณวลัยพร หรือ คุณน้ำ :b1:


อ้างคำพูด:
ไหนกรุณาช่วยอธิบายหน่อยสิคะ ที่ว่าเปรียบของว่างก็ประมาณส้มตำใส่ปูดอง ว่าเป็นยังไงหรือคะ


ก็ประมาณว่า ของกินเล่น เฮฮาปาตี้กินไปคุยกันไป นานๆกินทีก็อร่อยดี แต่กินทุกมื้อทุกวัน
คงไม่ไหวเบื่อประมาณเนี่ยอะคับ

อ้างคำพูด:
พี่อ่านดูละกัน นี่แหละพระเอกลิเกตัวจริงแหละ ถนัดนักให้คนอื่นเป็นตัวร้าย


ถนัดนักให้คนอื่นเป็นตัวร้าย


ป่าวนะครับ กรัชกายว่า ตามที่คุณ o.wan สั่งเสียคุณว่า

(อย่าลืมสนทนาธรรมกับ K.กรัชกราย อย่าดุนะคะ พี่อ่านจะได้ไม่เครียด)


อ้างคำพูด:
บังเอิญอารมณ์ยังเย็นอยู่ค่ะ ... ไม่งั้นคุณคงได้ทานบัวลอยน้ำขิงแน่ๆ ไม่ใช่บัวลอยหลากสีแบบที่คุณว่าดิฉันไว้ในครั้งที่แล้ว


ของโปรดเลยครับน่า บัวลอยน้ำขิง แก้ท้องอึดท้องเฟ้อดีนักแล :b12:


อ้างคำพูด:
แล้วที่คุณบอกว่า " แต่เมื่อพูดให้ลึกถึงขั้นฝึกจิตให้รู้เข้าใจความจริงเกี่ยวกับชีวิตจิตใจแล้ว จะต้องแก้ต้องปรุงปรับเปลี่ยนอีกหลายกระบวน เพื่อให้เข้าใจชีวิต " ตรงนี้ไม่ทราบว่าคุณพอจะพูดให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ไหมคะ


ตรงนี้ไม่ทราบว่าคุณพอจะพูดให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ไหมคะ


ได้ครับ ที่โยคีปฏิบัติกรรมฐานแล้วแก้อารมณ์+ปรับอินทรีย์เป็นต้นอยู่นั่นแลครับ คือ การฝึกให้รู้เห็นชีวิตจิตใจตามเป็นจริง แล้วเมื่อรู้เห็นชีวิต(ธรรมชาติ) นี้ ตามเป็นจริงแล้ว หรือ ตามที่มันเป็นแล้ว ก็ดำเนินชีวิตหรือใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างไร้ทุกข์ หรือ มีทุกข์น้อยที่สุดไงครับ
มิใช่ปฏิบัติแบบคุณ ทำเพื่อเอาไว้พูดโม้ใส่กันและกัน :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2009, 08:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ตอบคุณคามิน

การที่จะทิ้ง เราจะต้องสืบสาวเข้าให้ถึงต้นตอของสมุทัย จึงจะทิ้งได้อย่างธรรมชาติ ทิ้งอย่างเป็นไปเอง ไม่ต้องฝืน จึงจะไม่อึดอัด ไม่บีบคั้นความรู้สึก

คำว่า ทิ้ง ในความเข้าใจของกรัชกาย กับของคุณ อาจไม่เหมือนกัน กรัชกายทิ้งอย่างพุทธะ แบบผู้ครองเรือน แบบพระอริยะผู้ครองเรือน (กรัชกายไม่ใช่อริยะนะบอกก่อน)แต่ทิ้งแบบพระอริยะผู้ครองเรือน ทิ้งแบบอย่างนางวิสาขา อนาถบิณฑิกเศรษฐี พระเจ้าปเสนทิโกศล เป็นต้น คือทำมาหากิน มีครอบครัว ประกอบอาชีพอยู่นี่แหละ หมายความว่า ทำหน้าที่ของสามี ทำหน้าที่ของพ่อ ของปู่ เป็นต้น แต่ใจไม่ยึดติดกับสิ่งนั้น ทำ กิน ใช้ รักษา ซ่อมแซม ฯลฯ แต่ภายในจิตใจไม่ติด

มิใช่ทิ้งอย่างที่คุณเข้าใจ คือ ทิ้งโดยไม่เอาอะไรเลย ทิ้งทีอย่างสองอย่างจนเหลือแต่ตัวนอนใต้สะพานลอย ใต้ทางด่วน :b12:
ทิ้งแบบไม่ทำอะไร ไม่ทำงานไม่ประกอบสัมมาชีพ อย่างนี้ไม่ใช่แนวคำสอนของพุทธะ
เป็นแนวสอนของนิครนถ์ เข้าใจถูกไหมขอรับ หากไม่ถูก ช่วยตอนหน่อยสิ ทิ้งในความหมายของคุณต้องยังไง

คำว่า ดี ก็เช่นกัน ดีในความหมายภาษาไทย หรือ ภาษาธรรม ?


ประเด้นของผม ไม่น่าจะเข้าใจยากนะครับ
ผมแค่บอกให้ "ทิ้งความรู้สึก"

ทิ้งไปแล้วก้ยังเหลือหน้าที่ มีหน้าที่อะไรก้ต้องทำ


ส่วนคำอธิบายนั้น ผมคิดว่าผมอธิบายไปอย่างละเอียดยิบแล้ว ทั้งหลักการและวิธีการ
คุณกรัชกายอาจะจะอ่านผมไม่เข้าใจ หรือไม่ผมก็เขียนอะไรเข้าใจยาก

คุณกรัชกายพยามจะเข้าใจไปทางว่าผมเป้นพวกทิ้งของนอกกายไปนอนใต้สะพานเองนะครับ
ยังหาว่าผมไปสอนคนไม่มห้ทำงาน ไม่ประกอบสัมมาอาชีพอีกนะ เข้าใจไปนู่น

ว่าแต่ พระพุทธเจ้าตอนหนีออกจากวัง ก็ทิ้งแบบพวกนิครนธ์นี่แหละครับ
ทิ้งหมดเลย บ้านช่องลูกเมียทรัพย์สมบัติเกียรติยศ เราถึงได้มีพระพุทธเจ้า

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2009, 11:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ค. 2008, 14:11
โพสต์: 839

ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


ครับเอาละครับใคร จะว่า ไงก็ถูก หมด ผม มี แนวทางผม ซึ่ง
เมือผม ผิดหวัง......เสียใจ ขนาด อยากไปให้ พ้น จากโลกนี้ และตัวตนนี้
จะได่ไม่ต้องทุกข์เสีย ใจฟูม ฟาย อีก ...มีคน ใจบุญ ส่งซีดี สวดมนต์ แผ่นหนึ่ง
ให้มาฟัง....โอ้......โลกแห่งความดับ......ชั่วคราวช่างสุขจริงๆๆๆ
แม้เพียงชั่วขณะผมว่า ก็ ดี กว่า....คน อยู่เป็นร้อย ปี แต่ไม่เจริญ...
สภาวะ ดับแห่งธาต ขันธ์....ผม นั่งหลับตาทอดอารมณ์กับเพลงสวดมนต์
มันเป็นสุขมากๆๆๆๆจริงๆถ้าให้ คุณ o..wan จะรับมะคัรบ
ฟรี......ส่งทีอยู่มาครับ... ผมว่าแม้ชั่วขณะที่ไม่มีทุกข์ ดี กว่าหา ที่ ทุกข์
ตลอด มันมีสมาธิดีมาก สงบ เย็น ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
BOONCHAI_K@SYNNEX.CO.TH ที่นี่ครับ... :b30: :b20:

.....................................................
ทำดีทุกทุกวัน เมื่อโอกาสมา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2009, 11:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ประเด้นของผม ไม่น่าจะเข้าใจยากนะครับ
ผมแค่บอกให้ "ทิ้งความรู้สึก"
ทิ้งไปแล้วก้ยังเหลือหน้าที่ มีหน้าที่อะไรก้ต้องทำ

ส่วนคำอธิบายนั้น ผมคิดว่าผมอธิบายไปอย่างละเอียดยิบแล้ว ทั้งหลักการและวิธีการ
คุณกรัชกายอาจะจะอ่านผมไม่เข้าใจ หรือไม่ผมก็เขียนอะไรเข้าใจยาก

คุณกรัชกายพยามจะเข้าใจไปทางว่าผมเป้นพวกทิ้งของนอกกายไปนอนใต้สะพานเองนะครับ
ยังหาว่าผมไปสอนคนไม่มห้ทำงาน ไม่ประกอบสัมมาอาชีพอีกนะ เข้าใจไปนู่น

ว่าแต่ พระพุทธเจ้าตอนหนีออกจากวัง ก็ทิ้งแบบพวกนิครนธ์นี่แหละครับ
ทิ้งหมดเลย บ้านช่องลูกเมียทรัพย์สมบัติเกียรติยศ เราถึงได้มีพระพุทธเจ้า


ต้องหัดทิ้งนะครับ หัดเล็กหัดน้อย ค่อยๆหัด ทิ้งจนเหลือแต่กายกับจิต แล้วค่อยว่ากันต่อ
ทิ้งได้ก้ทิ้ง ยังทิ้งไม่ไหวก็ฝากโอฬาฬไว้ก่อนแล้วกลับมาใหม่
ที่ทิ้งๆไป ไม่เสียหรอกครับ มันเป็นเหตุให้ได้ "ของดี" ทีหลัง


ต้องหัด ทิ้ง นะครับ

ต้องหัด “ทิ้ง” นะครับ (ทิ้งอะไร ? พูดกำกวม) พอแย้งเข้าหน่อย ก็เติม “ความรู้สึก”
เป็น “ทิ้งความรู้สึก”
คุณจะทิ้งความรู้สึกไปไหน อริยบุคคลไม่มีความรู้สึกหรอ
มี พระอริยบุคคลก็มีความรู้สึกเหมือนคนทั่วไป เช่น รู้สึกหิว กระหาย เย็น ร้อน อ่อน แข็ง เจ็บ ปวด เป็นต้น แต่วงจรต่อจากนั้นมีความต่างกัน พระอริยะเพียงแค่รู้สึก แต่คนทั่วไปเตลิดต่อไปตามตัณหาอุปาทาน ถูกไหมครับ

อ้างคำพูด:
ว่าแต่ พระพุทธเจ้าตอนหนีออกจากวัง ก็ทิ้งแบบพวกนิครนธ์นี่แหละครับ
ทิ้งหมดเลย บ้านช่องลูกเมียทรัพย์สมบัติเกียรติยศ เราถึงได้มีพระพุทธเจ้า


ก็นี่ไง แนวคิดแบบนิครนถ์
ถามหน่อยแล้วหลังจากนั้น พระพุทธเจ้าตำหนิแนวสอนของนิครนถ์ว่าไงบ้าง ?


อ้างคำพูด:
ที่พูดมาทั้งหมดนี้ไม่ใช่อะไรนะครับ ถ้าจะเอาจริงเอาจัง ต้องฝึกพลังจิตของตัว ให้กล้าทิ้ง

ดูพระพุทธเจ้า ท่านมีทุกอย่างที่คนในโลกนี้อยากมี แต่ทำไมตัดใจทิ้งไปนั่งกัดฟันทำทุกรกริยาในป่าอยู่ 9 ปี
ลองคิดว่าเป็นตัวเรา จะทนอยู่ถึง 9 ปีไหม หรือว่า สามวันวิ่งแจ้นกลับวังไปนอนสบายๆ
ท่านทำได้เพราะท่าบำเพ็ญพลังจิต หรือ พลังใจ หรือก็คือ "บารมี" มาก่อนในพระชาติสุดท้ายคือพระเวสสันดร
นี่ยังไม่พูดถึงบารมีด้านอื่นๆของพระพุทธเจ้าที่บำเพ็ญสะสมมาตั้ง 500 ชาติ


ขออนุญาตพูดกับคุณตรงๆสักทีนะครับ :b8: เพราะเราพอรู้ๆแนวคิดกันและกันลึกพอควรแล้ว
คุณน่ะอธิบายธรรมแบบคร่อมภพคร่อมชาติ โยงไปโยงมา คิดอะไรไม่ออกบอกอะไรที่เป็นปัจจุบันขณะ
ไม่ได้ ก็โบ้ยย้อนหลังไปเมื่อ ห้าร้อยชาติ พันชาติที่แล้วๆมา :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2009, 11:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
คามินธรรม เขียน:
ว่าแต่ พระพุทธเจ้าตอนหนีออกจากวัง ก็ทิ้งแบบพวกนิครนธ์นี่แหละครับ
ทิ้งหมดเลย บ้านช่องลูกเมียทรัพย์สมบัติเกียรติยศ เราถึงได้มีพระพุทธเจ้า


ก็นี่ไง แนวคิดแบบนิครนถ์
ถามหน่อยแล้วหลังจากนั้น พระพุทธเจ้าตำหนิแนวสอนของนิครนถ์ว่าไงบ้าง ?




นี่ไงๆ คุณกรัชกาย
คุณเองปฏิเสธกรรมเก่า เชื่อว่ากรรมเก่าไม่มี เห็นไหม
ปฏิเสธทุกอย่างก่อนจะตรัสรู้

แต่เพราะความคิดพระพุทธเจ้าที่เป้นแบบ นิครนธ์ ความข้ามภพ ข้ามชาติ
ถึงได้เป็นปัจจัยสั่งสมจนเป้นพระพุทธเจ้าได้ในที่สุด

ความเป้นพระพุทธเจ้าไม่ใช่ส้มหล่นใส่หัวใครโดยบังเอิญ แล้วได้เป็นพระพุทธเจ้านะ

คุณกรัชกายต่างหาก เป็นลัทธิปฏิเสธอดีตนะ ปฏิเสธกรรมเก่าว่าไม่มีผลนะ
ไม่รู้ศัพท์เรียกว่าอะไร


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 13 มี.ค. 2009, 12:17, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2009, 12:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เอานะ ผมเคยประมือกับคุณมาหลายยกแล้ว
ไม่พ้นสไตล์เดิมๆ คือวนๆเวียนๆ ถามซ้ำไปซ้ำมา

ทั้งๆที่อธิบายไปแล้ว ก็ยังกลับมาถามอีก ทำเหมือนไม่ได้อ่าน ไม่เข้าใจ อะไรทำนองนั้น
ก็ไม่รุ้ว่าไม่ได้อ่าน หรืออ่านแล้วไม่เข้าใจ หรือเข้าใจแต่แกล้งไม่เข้าใจ

ผีเห็นผีนะ ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่นะ

นึกถึงคำคุณโปเต้ที่ว่า
ที่ขงเบ้งไม่ชนะสุมาอี้ ... .. เพราะสุมาอี้ไม่รบด้วย

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2009, 12:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
ผิดเองค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 14 มี.ค. 2009, 20:57, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2009, 12:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จะนำเอาพุทธพจน์ดังกล่าวแล้ว แต่จะแยกแต่ละลัทธิๆให้พิจารณาอีกที ดังนี้


๑. ปุพเพกตเหตุวาทะ การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวง เป็นเพราะกรรมเก่า (past-action determinism) เรียกสั้นๆ ว่า ปุพเพกตวาท (เป็นลัทธินิครนถ์)


“ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์ ๓ จำพวกนั้น เราเข้าไปหา (พวกที่ ๑) แล้วถามว่า “ทราบว่า ท่านทั้งหลายมีวาทะ มีทิฐิอย่างนี้...จริงหรือ ?”

ถ้าสมณพราหมณ์เหล่านั้น ถูกเราถามอย่างนี้แล้ว รับว่าจริง เราก็กล่าวกะเขาว่า
“ถ้าอย่างนั้น ท่านก็จักต้องเป็นผู้ทำปาณาติบาต เพราะกรรมที่ทำไว้ปางก่อนเป็นเหตุ
จะต้องเป็นผู้ทำอทินนาทาน เพราะกรรมที่ทำไว้ปางก่อนเป็นเหตุ
จะต้องเป็นผู้ประพฤติอพรหมจรรย์...
เป็นผู้กล่าวมุสาวาท...ฯลฯ เป็นผู้มีมิจฉาทิฏฐิ เพราะกรรมที่ทำไว้ปางก่อนเป็นเหตุน่ะสิ”

“ภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลมายึดเอากรรมที่ทำไว้ในปางก่อนเป็นสาระ ฉันทะก็ดี
ความพยายามก็ดีว่า “สิ่งนั้นควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ” ก็ย่อมไม่มี
เมื่อไม่กำหนดถือเอาสิ่งที่ควรทำ และ สิ่งที่ไม่ควรทำ โดยจริงจังมั่นคง ดังนี้
สมณพราหมณ์พวกนี้ ก็เท่ากับอยู่อย่างหลงสติ ไร้เครื่องรักษา จะมีสมณะวาทะ
ที่ชอบธรรมเฉพาะตนไม่ได้ นี้แล เป็นนิคหะอันชอบธรรมอย่างแรกของเรา ต่อสมณพราหมณ์ผู้มีวาทะ มีทิฐิอย่างนี้”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2009, 13:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับคุณน้ำ
:b12:

อ้างคำพูด:
อ่านแล้วคลื่นไส้ วลัยพรมีอยู่เพียงคนเดียว


อ่านแล้วคลื่นไส้

เป็นโรคกระเพาะป่าวครับ ดูแลสุขภาพ เช่น กินอาหารให้ตรงเวลาก็ช่วยได้ ตื่นเช้ามา ดื่มน้ำเยอะๆก็ช่วยได้ หากเป็นโรคกระเพาะ :b12:

อ้างคำพูด:
ขอบคุณมากกก สำหรับคำตอบ คนดีเลิศประเสริฐศรีแบบคุณ ไม่จำเป็นต้องมาสนทนากับดิฉันหรอกค่ะ เดี๋ยวจะทำให้สีของความเป็นผู้ดีของคุณนั้นหมองไป
แล้วก็บอกตามตรง ไม่ใช่ของว่างสำหรับใครๆที่จะมาขบเคี้ยวเล่น คุณมันก็แค่ขนมเข่งหนืดๆที่จืดชืดแค่นั้นเอง ... ให้กินส้มตำปู ยังดีกว่าให้ไปเคี้ยวขนมเข่งหนืดๆ ไร้รสชาติสิ้นดี


อ้างคำพูด:
อ้างอิงคำพูด:
ไหนกรุณาช่วยอธิบายหน่อยสิคะ ที่ว่าเปรียบของว่างก็ประมาณส้มตำใส่ปูดอง ว่าเป็นยังไงหรือคะ


ดูสิน่า บอกให้กรัชกายอธิบาย ก็อธิบายแล้วตามนั้น แต่สังขารขันธ์คุณปรุงแปรไปไหนต่อไหน :b1: กำหนดสิครับ ฟุ้งซ่านหนอๆ คิดหนอๆๆ ก็ได้
ให้อธิบายพออธิบายก็ว่า ไม่อธิบายก็โกรธ เอาใจยากจริงๆ :b16:

อ้างคำพูด:
ให้กินส้มตำปู ยังดีกว่าให้ไปเคี้ยวขนมเข่งหนืดๆ ไร้รสชาติสิ้นดี


ขนมเข่งแม้จะดูจืดๆไปหน่อย แต่มีคุณทางด้านจิตใจนะครับ
มีอย่างไร ?
สำหรับไหว้เจ้าในวันตรุษจีนไง ครับ :b15:
หากจะให้อร่อยเหาะน่ะ ฝานบางๆแล้วนำไปทอดน้ำมันให้เหลืองๆหน่อยนะ คุณเอ้ยอร่อยอย่าบอกใคร :b13:

อ้างคำพูด:
อย่างนั้นหรือ .. ตัวเองน่ะแหละ น้ำลายแตกฟองฟ้อดๆ ใครพูดไม่เหมือนหน่อยเอาเชียว ไง .. กลับมาเที่ยวนี้ กินยาผิดขวดหรือ ถึงไล่กัดเขาไปทั่ว .. อย่ามาแหยม .. อย่านึกว่าเป็นผู้หญิงแล้วจะไม่กล้า ..
โธ่ ๆๆๆ นายขนมเข่งหนืดไม่พอ ยังจืดชืดไร้รสชาติอีกต่างหาก .. เที่ยวว่าคนอื่นเขา ไม่ยอมกลับไปดูตัวเอง หัดส่องกระจกเสียบ้าง เวลาว่าใครเขาน่ะ คุณน่ะแหละตัวขี้โม้ โธ่เอ๊ย .. นึกว่าเจ๋งนักเหรอ .. แค่รู้ปริยัติมากกว่าฉานน คิดจะมาข่มฉานนหรือ .. ไม่เคยกลัว บอกได้เลย ํ..

พูดดีมา ดีด้วย พูดห่วยๆ ก็ต้องเจอห่วยๆพอกัน เน้นนน ขอย้ำเลย ไม่เคยกลัว .. เซงเลยย พวกอัตตาเยอะ ... วันๆเอาแต่แพร่ม หาคนทะเลาะไม่ได้ มาลงกับเราเฉยเลย
อย่ามายุ่งกับฉานนน เข้าใจไหม นายขนมเข่งที่จืดชืด ..



คุณก็เป็นสะเงี้ยได้หน้าลืมหลังทุกทีจนเป็นปกติ กลับไปทบทวนข้างต้นสิครับ เริ่มจากตรงไหน
เป็นกุลสตรีควรเรียบร้อยนะขอรับ ทำหน้าตาบูดบึ้งดูไม่งาม
ปฏิบัติมาก็มาก (ตามที่บอก (โม้)) กำหนดสิครับ โกธรหนอๆ เคืองหนอๆ :b38: :b41:
เข้าใจมั้ย :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2009, 17:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พิจารณาลัทธิที่เป็นมิจฉาทิฏฐิอย่างที่สอง ที่เป็นลัทธิของพราหมณ์


๒. อิสสรนิมมานเหตุวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวง เป็นเพราะการบันดาลของเทพผู้เป็นใหญ่
(theistic determinism) เรียกสั้นๆว่า อิศวรกรณวาท หรือ อิศวรนิรมิตวาท
(ลัทธิพราหมณ์)

“ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น เราเข้าไปหา (พวกที่ ๒) กล่าวกะเขาว่า “ท่านจักเป็นผู้ทำปาณาติบาต ก็เพราะการบันดาลของพระผู้เป็นเจ้าเป็นเหตุ
จักเป็นผู้ทำอทินนาทาน....
ประพฤติอพรหมจรรย์....
กล่าวมุสาวาท...ฯลฯ เป็นผู้มีมิจฉาทิฏฐิ ก็เพราะการบันดาลของพระผู้เป็นเจ้าเป็นเหตุน่ะสิ”

“ภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลมายึดเอาการบันดาลของพระผู้เป็นเจ้าเป็นสาระ ฉันทะก็ดี ความพยายามก็ดี
ว่า “สิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ” ก็ย่อมไม่มี
เมื่อไม่กำหนดถือเอาสิ่งที่ควรทำ และ สิ่งที่ไม่ควรทำ โดยจริงจังมั่นคง ดังนี้
สมณพราหมณ์พวกนี้ ก็เท่ากับอยู่อย่างหลงสติ ไร้เครื่องรักษา จะมีสมณะวาทะที่ชอบธรรมเฉพาะตนไม่ได้ นี้แล เป็นนิคหะอันชอบธรรมอย่างที่สองของเรา ต่อสมณพราหมณ์ผู้มีวาทะ มีทิฐิอย่างนี้”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 73 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร