วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 23:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 45 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2009, 09:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีค่ะ คุณศิรัสพล

แมวฯขออนุญาติอ่านและนำคห.ดีๆของคุณไปบอกเล่า กล่าวต่อบ้างนะคะ

เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปค่ะ


:b8:

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 22:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


คนที่คุณ bbby เล่าให้ฟัง น่าจะได้ไปเกิดที่แดนสุขาวดีพุทธเกษตร แน่ๆ เลย ออมิทอฝอ ภาษาจีน หมายถึง พระอมิตาภะพุทธเจ้า น่ะครับ :b8:

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 23:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: คุณ bbby ====>>ออมิทอโพ ภาษาจีน ก็คือชื่อเดียวกับคุณอมิตาพุทธภาษาไทยนี่แหละครับ ผมก้จำจากคุณอมิตาพุทธมาพูดไงครับ หุๆๆๆๆ :b11:


ว่าแต่คุณ ฺิbbby ไม่เห็นมาโพสท์เลยครับ หรือว่าแวะเข้ามาอ่านอย่างเดียว ผมก้แวะมาอ่านและมาโพสท์เหมือนกัน คือแบบว่าจำเขามาแล้วมาโพสท์ตอบน่ะครับ :b12:

ไปก่อนนะ K อมิตาพุทธ, K แมวขาวฯ แ ละทุกๆท่าน จะไปดูบอลพรีเีมียร์ช่อง3 ต่อนะครับ

๖(รวมทั้ง K dd ด้วย เผื่อเปิดอ่านกระทู้นี้)

.....................................................
"มีสติเป็นเรือนจิต ใช้ชีวิตเป็นเรือนใจ ใช้ปัญญาเป็นแสงสว่างส่องทางเดินไปเถิด จะได้ล้ำเลิศในชีวิตของท่าน มีความหมายอย่างแท้จริง"
ในการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้ตัดปลิโพธกังวลใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ลูก สามี ภรรยา ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง อย่าเอามาเป็นอารมณ์ จากหนังสือ: เจริญกรรมฐาน7วันได้ผลแน่นอน หัวข้อ12: ระงับเวรด้วยการแผ่เมตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2009, 22:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คนที่คุณ bbby เล่าให้ฟัง น่าจะได้ไปเกิดที่แดนสุขาวดีพุทธเกษตร แน่ๆ เลย ออมิทอฝอ ภาษาจีน หมายถึง พระอมิตาภะพุทธเจ้า น่ะครับ :b8:



ใช่ค่ะคุณอมิตาพุทธ :b38: เราคิดว่าต้องเป็นแบบที่คุณคิดค่ะ
คุณคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแปลกมั๊ยค่ะ คือเค้าพูดว่าท่านจะมาตอนกี่โมงก็ไปตอนนั้นจริงๆ
แล้สก่อนจะไปเค้าก็พูดว่า"เหลียนฮัว(ดอกบัว)ไหลเลี่่ยว"คือ"ดอกบัวมารับเค้าแล้ว"
แปลกนะ ทั้งๆที่เค้าเพิ่งจะเริ่มสวดมนต์ไม่ถึง3เดือนนะ

คือเราคิดว่าเค้าจะต้องเห็นดอกบัวจริงๆ เพราะคนที่กำลังจะเสียชีวิต
เค้าจะไม่พูดจาอะไรที่ไม่จริง แต่แสงที่ออกมาจากรูปนี่ คือเราไม่กล้าเดาแต่เราเชื่อ
แล้วก็เชื่อมากๆค่ะว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา"ไม่ใช่คำเปรียบเปรย


คุณอินทรีย์5ค่ะ คือตอนนี้เรากำลังสนใจ เรื่องวิธีการทำเนื้อสัตว์เจน่ะค่ะ
ก็เลยเข้ามาอ่านเฉยๆนะค่ะ แต่ไปค้นหาหลายที่ก็ยังไม่เจอเลยค่ะ
เจอแต่การทำอาหารชักจะท้อๆแล้วสิค่ะ!


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2009, 23:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คนที่คุณ bbby เล่าให้ฟัง น่าจะได้ไปเกิดที่แดนสุขาวดีพุทธเกษตร แน่ๆ เลย ออมิทอฝอ ภาษาจีน หมายถึง พระอมิตาภะพุทธเจ้า น่ะครับ :b8:



ใช่ค่ะคุณอมิตาพุทธ :b38: เราคิดว่าต้องเป็นแบบที่คุณคิดค่ะ
คุณคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแปลกมั๊ยค่ะ คือเค้าพูดว่าท่านจะมาตอนกี่โมงก็ไปตอนนั้นจริงๆ
แล้สก่อนจะไปเค้าก็พูดว่า"เหลียนฮัว(ดอกบัว)ไหลเลี่่ยว"คือ"ดอกบัวมารับเค้าแล้ว"
แปลกนะ ทั้งๆที่เค้าเพิ่งจะเริ่มสวดมนต์ไม่ถึง3เดือนนะ

คือเราคิดว่าเค้าจะต้องเห็นดอกบัวจริงๆ เพราะคนที่กำลังจะเสียชีวิต
เค้าจะไม่พูดจาอะไรที่ไม่จริง แต่แสงที่ออกมาจากรูปนี่ คือเราไม่กล้าเดาแต่เราเชื่อ
แล้วก็เชื่อมากๆค่ะว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา"ไม่ใช่คำเปรียบเปรย


คุณอินทรีย์5ค่ะ คือตอนนี้เรากำลังสนใจ เรื่องวิธีการทำเนื้อสัตว์เจน่ะค่ะ
ก็เลยเข้ามาอ่านเฉยๆนะค่ะ แต่ไปค้นหาหลายที่ก็ยังไม่เจอเลยค่ะ
เจอแต่การทำอาหารชักจะท้อๆแล้วสิค่ะ!



วิธีการทำเนื้อสัตว์เจ ก็ทำจากแป้งนี่แหละค่ะ เหนื่อยหน่อยนะคะ กว่าจะนวดแป้งเสร็จ ต้องการสูตรไหมคะ มีวิธีทำค่ะ หรือ ต้องการอาหารเจแบบอื่นๆ ก็ถามมานะคะ พอดีทานเจมานาน แล้วก็ทำทานเองมาตลอด

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2009, 01:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว




sukhawadee.jpg
sukhawadee.jpg [ 75.41 KiB | เปิดดู 4183 ครั้ง ]
คนที่คุณ bbby เล่าให้ฟัง เค้าคงมีความศรัทธาเชื่อมั่นน่ะครับ สวดพระนามพระอมิตาภะพุทธเจ้าด้วยความศรัทธา
เมื่อใกล้สิ้นชีวิตก็จะมีดอกบัวมารับ และก็จะได้ไปเกิดในดอกบัวในสระโบกขรณีบนแดนสุขาวดี เมื่อดอกบัวบาน ก็จะได้
บำเพ็ญธรรมต่อไป คุณ bbby ได้อ่าน มหาสุขาวตีวยูหสูตร หรือยังครับ มีพระท่านแปลเป็นภาษาไทยแล้วค่อนข้างสมบูรณ์มากพูดถึงตั้งแต่
พระอมิตาภะพุทธเจ้า(หรือพระอมิตายุสะ) ในสมัยที่ท่านเป็นพระธรรมกร ภิกษุ แล้วท่านได้ตั้งปณิธาน 48 ข้อเพื่อจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า
อ่านแล้วทำให้อยากไปเกิดที่แดนสุขาวดีกับเค้าบ้าง(จะได้ไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ ฮ่าๆๆ) ตัดมาให้อ่านบางส่วนดีกว่า

มหาสุขาวตีวยูหสูตร

วรรค ๙ สำเร็จโดยสมบูรณ์
รับสั่งกับพระอานนท์ว่า ธรรมกรภิกษุนี้ได้บำเพ็ญโพธิสัตวจริยา สั่งสมกุศลสมภารจำนวน
อเนกอนันต์ จึงบรรลุอิสระในสรรพธรรมทั้งปวง อันหาใช่รู้แจ้งจากคำกล่าวที่ต่างกันไม่ ปณิธาน
ทั้งปวงที่ประกาศไว้ล้วนสำเร็จบริบูรณ์ ได้ธำรงไว้แล้วอย่างแท้จริง มีความสมบูรณ์อลังการ มีเด
ชานุภาพไพศาล และมีพุทธเกษตรที่บริสุทธิ์ยิ่งนัก
เมื่อพระคุณเจ้าอานนท์ได้สดับเช่นนี้ จึงทูลว่า ธรรมกรโพธิสัตว์นี้ได้สำเร็จพระโพธิญาณ
เป็นพระพุทธเจ้าในอดีต ฤๅเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ฤๅเป็นพระพุทธเจ้าในโลกธาตุอื่นในกาล
ปัจจุบันเล่าหนอพระเจ้าข้า
ตรัสว่า อันพระพุทธตถาคตเจ้าพระองค์นั้น มีการมาที่ไร้ซึ่งการมา แลการไปก็ปราศจากซึ่ง
การไป มิเกิดแลมิดับ อันหาใช่ภาคเบื้องอดีตปัจจุบันฤๅอนาคตไม่ แต่มีปณิธานจักอนุเคราะห์หมู่
สัตว์ ในกาลนี้ไปทางประจิมทิศ ผ่านชมพูทวีปแห่งพุทธเกษตรอื่นๆจำนวนร้อยพันโกฏินยุตะ ยังมี
โลกธาตุแห่งหนึ่งชื่อ สุขาวตี ธรรมกร(โพธิสัตว์)ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธะผู้ตรัสรู้
ชอบด้วยพระองค์เอง พระนามว่า อมิตายุสะ นับแต่ที่ทรงปรมาภิเษกซึ่งพระอภิสัมโพธิจนถึง
ปัจจุบัน เป็นเพลาได้สิบกัลป์ ในกาลบัดนี้ก็ยังทรงแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ แวดล้อมไปด้วยคณะ
โพธิสัตว์และพระสาวกจำนวนอมิตะคือประมาณมิได้ จำนวนอสงไขยคือนับไม่ได้

วรรค ๑๐ ล้วนแต่ปรารถนาพุทธภูมิ
เมื่อสมัยที่ตรัสถึงการบรรลุปณิธานของพระอมิตายุสพุทธเจ้า เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็น
โพธิสัตว์อยู่นั้น อชาตศัตรูราชกุมาร พร้อมมหาคฤหบดีจำนวนห้าร้อย เมื่อได้สดับแล้วจึงเกิดปีติ
โสมนัสยิ่งนัก ต่างถือเอาฉัตรบุปผาทองคำมาเฝ้าพระพุทธองค์ แล้วกระทำอภิวาท เมื่อนำฉัตรบุป
ผานั้นกั้นบนพระพุทธองค์แล้ว จึงนั่งลงข้างหนึ่งเพื่อสดับพระเทศนา ในดวงจิตมีปณิธานว่า "ขอให้
ข้าพเจ้าทั้งหลายเมื่อได้กระทำซึ่งความเป็นพระพุทธะ จงประดุจพระอมิตายุสพุทธองค์เทอญ"
สมเด็จพระพุทธศากยมุนีทรงทราบด้วยพระญาณแล้ว จึงรับสั่งกับหมู่ภิกษุว่า อันราชบุตร
นี้เป็นต้น ในอนาคตจักได้กระทำซึ่งความเป็นพระพุทธะ ด้วยในบุพชาติก่อนๆเธอได้ดำรงอยู่ในโพธิ
สัตวมรรคเป็นเวลาอสงไขยกัลป์มาแล้ว ได้บูชาพระพุทธเจ้าจำนวนสี่ร้อยโกฏิพระองค์ เมื่อพุทธ
สมัยแห่งพระผู้มีพระภาคกัสสปะ เธอทั้งหลายได้เป็นศิษย์ของเรา บัดนี้จึงได้มาสักการะเราอีกครั้ง
หนึ่ง เพลานั้นบรรดาภิกษุผู้ได้สดับพระพุทธดำรัส จักหาผู้มิเกิดปีติโสมนัสเห็นบ่มีเลย

วรรค ๑๑ โลกธาตุวิศุทธิอลังการ
ตรัสกับพระอานนท์ว่า อันสุขาวตีโลกธาตุแห่งนั้น ประกอบด้วยความดีงามไม่มีประมาณ
สมบูรณ์พร้อมซึ่งความอลังการ อีกปราศจากนามของความทุกข์ ภยันตราย อบายภูมิและมาร
เบียดเบียน ปราศจากฤดูกาลทั้งสี่ คือความต่างกันของอากาศที่หนาวร้อน ฝนตกและแห้งแล้ง อีก
ปราศจากชลธารมหาสมุทรใหญ่เล็ก ไร้เนินและหลุมบ่อ ขวากหนามกรวดทราย ปราศจากภูเขา
เหล็กที่วนรอบจักรวาล สุเมรุบรรพต ปฐวีบรรพต ศิลาบรรพต มีแต่สัปตรัตนะโดยธรรมชาติ
พื้นพสุธาดลเป็นทองคำ ราบเรียบเสมอกันกว้างใหญ่ไพศาลมิอาจจำกัดซึ่งขอบเขต มีความพิสดาร
แลประณีตยิ่งนัก กับทั้งบริสุทธ์ิและอลังการกว่าโลกธาตุทั้งปวงในทศทิศ
ก็เมื่อพระคุณเจ้าอานนท์ได้สดับแล้ว จึงทูลพระผู้มีพระภาคว่า หากโลกธาตุแห่งนั้นไร้ซึ่ง
สุเมรุบรรพต แล้วโลกบาลเทวราชทั้งสี่และดาวดึงส์เทวโลก จักอาศัยสิ่งใดในการตั้งอยู่หนอ
รับสั่งว่า ก็บรรดาเทพทั้งปวงในกามภพชั้นยามา ดุสิต ไปจนถึงรูปธาตุและอรูปธาตุนั้นเล่า
ได้อาศัยสิ่งใดในการตั้งอยู่เล่า
ทูลว่า เป็นไปตามกำลังแห่งกรรมอันนึกคิดมิได้พระเจ้าข้า
รับสั่งว่า กรรมอันเป็นอจินไตย เธอล่วงรู้ได้หรือไม่ วิบากผลแห่งกายของเธอนั้นเป็น
อจินไตย กรรมวิบากของสรรพสัตว์ก็เป็นอจินไตย กุศลมูลของสรรพสัตว์เป็นอจินไตย พระกำลัง
ของพระพุทธเจ้าทั้งปวง พุทธโลกธาตุทั้งปวงก็เป็นอจินไตย อันกำลังแห่งกุศลความดี การกระทำ
ของหมู่สัตว์ในโลกธาตุแห่งนั้น และพระกำลังของพระอมิตายุสอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเหตุให้
สามารถแสดงได้เพียงสังเขปเท่านั้น
ทูลว่า อันเหตุ ผลและวิบากของกรรมที่เป็นอจินไตย สำหรับธรรมประการนี้นั้น ข้าพระองค์
ปราศจากซึ่งความเคลือบแคลงสงสัย แต่เพื่อจักทำลายวิจิกิจฉาอันดุจร่างแหที่ปกคลุมสรรพสัตว์
ในอนาคต จึงเป็นเหตุให้ทูลถามเช่นนี้พระเจ้าข้า

วรรค ๑๒ พระรัศมีแผ่ไปในสกล
รับสั่งกับพระอานนท์ว่า รัศมีอันโชตนารุ่งเรืองของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธอมิตายุสะนั้น
เป็นเอกยอดยิ่ง พระพุทธเจ้าทั้งปวงในทิศทั้งสิบมิอาจเทียบได้ รัศมีนั้นแผ่ทั่วไปในพุทธเกษตร
จำนวนเท่าเม็ดทรายแห่งคงคานทีเบื้องบูรพา ทักษิณ ประจิม อุดรทั้งสี่ทิศ อีกทิศาเบื้องบน เบื้อง
ล่างก็เช่นกันนี้ รัศมีรอบพระเศียร(แห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวง)นั้น บ้างก็มีปริมณฑลหนึ่ง สอง สาม สี่
โยชน์ บ้างก็ร้อย พัน หมื่น โกฏิโยชน์ รัศมีแห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวงนั้น รุ่งเรืองไปถึงพุทธเกษตรหนึ่ง
แห่งบ้าง สองแห่งบ้าง ร้อย พันพุทธเกษตรบ้าง แต่มีเพียงพระอมิตายุสพุทธเจ้า ที่มีรัศมีรุ่งเรืองไป
ถึงพุทธเกษตรจำนวนอมิตะคือประมาณไม่ได้ อนันตะคือหาขอบเขตมิได้และอสงไขยคือคำนวณ
ไม่ได้ อันรัศมีแห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวงนั้นจะรุ่งเรืองไปไกลหรือใกล้นั้น เนื่องด้วยการบำเพ็ญมรรค
ในบุพชาติ กุศลแห่งปณิธานก็มีความใหญ่เล็กต่างกัน เมื่อสมัยที่กระทำซึ่งความเป็นพระพุทธะแล้ว
จึงได้เสวยแต่พระองค์เอง อันเป็นการกระทำที่อิสระจักใช้อุบายใดเสกสรรมิได้ พระอมิตายุสอร
หันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น มีรัศมีรุ่งเรืองงดงาม วิเศษกว่ารัศมีแห่งดวงสุริยันแลจันทราพัน
โกฏิหมื่นเท่า เป็นพระผู้รุ่งเรืองที่สุดและเป็นราชาแห่งพุทธะ ด้วยเหตุฉะนี้ จึงมีพระนามว่า อมิตา
ยุสพุทธะ บ้างมีพระนามว่าอมิตาภพุทธะ อัสมาปตประภา อนาวรณประภา อดุลยประภา
บ้างก็มีพระนามว่า ปรัชญาญาณประภา นิตยประภาส วิศุทธิประภา เกษมประภา วิมุตติ
ประภา ผาสุกประภา ชยสุริยจันทรประภา อจินไตยประภา๒๘ เป็นต้น อันรัศมที ี่รุ่งเรืองนี้ได้
ฉายส่องไปยังโลกธาตุทั้งปวงในทศทิศ บรรดาสรรพสัตว์ในโลกธาตุนั้นที่ได้พบรัศมีนี้แล้ว ย่อมมี
มลทินที่ดับไปความดีงามจักเกิดมีขึ้น กายและจิตจักศานติอ่อนโยน หากอยู่ในอบายภูมิสามเสวย
ทุกขเวทนาอย่างที่สุด เมื่อได้พบรัศมีนี้(ความทุกข์ทั้งปวง)จักยุติ เมื่อสิ้นชีพไปจักลุถึงความหลุดพ้น
ทั้งสิ้น หากมีสรรพสัตว์ผู้ยินกุศลวิเศษของรัศมีนี้แล้ว ได้สรรเสริญอยู่ทุกวันคืน ด้วยจิตตั้งมั่นมิขาด
สิ้น ก็ย่อมไปอุบัติยังพุทธเกษตรแห่งนั้นได้สมใจปรารถนา

ส่วนเรื่องอาหารเจ ผมเองก็ทานเจน่ะครับ ผมจะทำกับข้าวเอง และก็ไปซื้อวัตถุดิบแถวเยาวราชน่ะครับ
ไม่ทราบว่าคุณ bbby อยู่แถวไหนหรือครับ สะดวกไปเยาวราชหรือเปล่า ตรงข้ามวัดมังกรกมลาวาส
จะมีซอยนึง เค้าจะมีพวกวัตถุดิบอาหารเจขายน่ะครับ ผมก็ไปซื้อมาตุน ไว้ในตู้เย็นบ่อยๆ อิอิ

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มี.ค. 2009, 14:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ทราบว่าคุณ bbby อยู่แถวไหนหรือครับ สะดวกไปเยาวราชหรือเปล่า :b38:



เราอยู่....รัฐYohorbahruมาเลย์เซียติดกับสิงคโปร์ุ
คุณอมิตาพุทธคิดว่า....ถ้าเราจะไปแถวเยาวราชเราจะไปทางไหนถึงจะสะดวกค่ะ :b32: :b32:

คุณอมิตาพุทธอยู่แถวเยาวราชเหรอค่ะ
แต่ก่อนเราก็เคยทำงานแถวๆหัวลำโพงค่ะ
คิดถึงก๋วยเตี๋ยวคนจนนะอร่อยแล้วก็ถูก
รูปภาพของคุณอมิทตาพุทธ สวยมากๆนะค่ะดูแล้วรู้สึกเย็นดีค่ะ!


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มี.ค. 2009, 14:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: อ่านะ ผมก็คิดว่าอยู่เมืองไทย น่าเสียดายจัง ตอนนี้ที่เมืองไทย มีร้านอาหารเจ เยอะนะครับ
รสชาติก็อร่อยด้วยนะ อิอิอิ (พูดให้อิจฉาเล่นนะครับ 555) ถ้าไปเสาะหา ตามห้างสรรพสินค้า ก็จะมีอยู่ครับ คนกินเจ ก็เลยสบาย ไม่ลำบากเหมือนเมื่อก่อน
ผมอยู่แถวฝั่งธนน่ะครับ ไม่ได้อยู่แถวเยาวราช ครับ ชอบไหว้พระที่วัดมังกรกมลาวาส น่ะครับ :b8:

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2009, 20:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา


รูปภาพ

ผ่าน-ไป-ไม่ช้าพระพุทธองค์เสด็จมา อนุโมทนาวิมุตติธรรม
มีพระสาวกติดตาม เป็นพระอรหันต์ทั้งนั้นงามตา
สามเณรก็มาล้วนแต่สาวกอรหันต์..................

พระพุทธเจ้า-หลายองค์ที่ทรงหมุนเวียนเปลี่ยนกัน มาเยี่ยมเยือนพระอาจารย์มั่น
คืนนี้องค์นี้คืนนั้นองค์นั้นเวียนกัน ทั้งพระสาวกของท่านพร้อมกันมาโมทนา
ในพระโอวาทที่ประทานให้มา โดยส่วนใหญ่มีใจความว่าทราบว่าเธอพ้นทุกข์
อนันตทุกข์เหมือนลูกโซ่ที่ถูกทำลาย จนพบทางสว่างไสวสิ้นเยื่อขาดใยภพชาติแห่งตน


พระพุทธเจ้า:

"เราตถาคตทราบว่า เธอพ้นโทษจากอนันตรทุกข์ในที่คุมขังแห่งเรือนจำของวัฏทุกข์จึงได้มาเยี่ยมอนุโมทนา"

"สัตว์โลกจำนวนมากไม่ค่อยมีผู้สนใจกับทุกข์ที่เป็นอยู่กับตัวตลอดมา
ว่าเป็นสิ่งที่ทรมานและเสียดแทงร่างกายจิตใจเพียงใด"


"สัตว์โลกอาภัพเพราะโรคกิเลสตัณหาภายใน ใจเบียดเบียนเสียดแทง
ทำให้เป็นทุกข์แบบไม่มีจุดหมายว่าจะหายได้เมื่อใด"


"ที่นี่เธอเห็นพระตถาคตอย่างแท้จริงแล้วมิใช่หรือ?"

"พระตถาคตแท้คืออะไร"


"คือความบริสุทธิ์แห่งใจ"

ที่เธอเห็นแล้วนั้นแล..........

ที่พระตถาคตมาในร่างนี้มาในร่างแห่งสมมุติต่างหาก

เพราะพระตถาคตและพระอรหันต์อันแท้จริงมิใช่ร่างแบบที่มากันนี้
นี่เพียงเป็นเรือนร่างของตถาคตโดยทางสมมุติต่างหาก


พระอาจารย์มั่นกราบทูลว่า

อ.มั่น:

"ข้าพระองค์ทราบพระตถาคตและพระสาวกอรหันต์อันแท้จริงไม่สงสัย ที่สงสัยคือ
พระองค์ทั้งหลายกับพระสาวกท่านที่เสด็จไปด้วยอนุปาทิเสสนิพพานไม่มีส่วนสมมุติ
ยังเหลืออยู่เลย แล้วเสด็จมาในร่างนี้ได้อย่างไร?
"

พระพุทธเจ้าตรัสว่า

พระพุทธเจ้า: "ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งแม้มีความบริสุทธิ์ทางใจด้วยดีแล้ว แต่ยังครองร่างอันเป็นส่วนสมมุติอยู่ฝ่ายอนุปาทิเสสนิพพานก็ต้องแสดงสมมุติตอบรับกัน"

"คือต้องมาในร่างสมมุติซึ่งเป็นเครื่องใช้ชั่วคราวได้
ถ้าต่างฝ่ายต่างเป็นอนุปาทิเสสนิพพานด้วยกันแล้วไม่มีส่วนสมมุติยังเหลืออยู่"


ตถาคตก็ไม่มีสมมุติอันใดมาแสดงเพื่ออะไรอีก

ฉะนั้น การมาในร่างสมมุตินี้จึงเพื่อสมมุติเท่านั้น
ถ้าไม่มีสมมุติเสียอย่างเดียวก็หมดปัญหา

พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงทราบเรื่องอดีต

อนาคตก็ทรงถือเอานิมิต คือสมมุติอันดั้งเดิมของเรื่องนั้นๆ เป็นเครื่องหมายให้ทราบ
ดังที่เราตถาคตนำสาวกมาเยี่ยมเวลานี้ ก็จำต้องมาในรูปลักษณะอันเป็นสมมุติดั้งเดิม


เพื่อผู้อื่นจะพอมีทางทราบได้ว่า พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นๆ พระอรหันต์องค์นั้นๆ มีรูปร่าง
ลักษณะอย่างนั้นๆ ถ้าไม่มาในรูปลักษณะนี้แล้ว ผู้อื่นก็ไม่มีทางทราบได้

เมื่อยังต้องเกี่ยวกับสมมุติในเวลาต้องการอยู่
วิมุตติก็จำต้องแยกแสดงออกโดยทางสมมุติเพื่อความเหมาะสมกัน


ผู้ทราบวิมุตติอย่างประจักษ์ใจแล้ว จึงไม่มีทางสงสัยเรื่องวิมุตติแสดงตัวออกต่อสมมุติในบาง
คราวที่ควรแก่กรณี และทรงตัวอยู่ตามสภาพเดิมของวิมุตติ ไม่แสดงอาการ
ที่เธอถามเราตถาคตนั้น ถามด้วยความสงสัยหรือถามพอเป็นกิริยาแห่งการสนทนากัน

ท่านกราบทูลว่า


อ.มั่น: "ข้าพระองค์มิได้มีความสงสัยทั้งสมมุติและวิมุตติของพระองค์ทั้งหลาย แต่ที่กราบทูลนั้นก็เพื่อถวายความเคารพไปตามกิริยาแห่งสมมุติเท่านั้น แม้พระองค์กับพระสาวกจะเสด็จมาหรือไม่
ก็มิได้สงสัยว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ อันแท้จริงมีอยู่ ณ ที่แห่งใด แต่เป็นความเชื่อประจักษ์ใจอยู่เสมอว่า............


"ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต"

อันแสดงว่า.....

พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ มิใช่ธรรมชาติอื่นใดจากที่บริสุทธิ์หมดจดจากสมมุติ
ในลักษณะเดียวกันกับพระรัตนตรัย......



พระพุทธเจ้าตรัสว่า.........

พระพุทธเจ้า: การที่เราตถาคตถามเธอ ก็มิได้ถามด้วยความเข้าใจว่าเธอมีความสงสัย แต่ถามเพื่อเป็นสัมโมทนียธรรมต่อกันเท่านั้น

จาก"ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต"

ประวัติหลวงปู่มั่น ตอนที่ ๒๒

(พระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์เสด็จมาอนุโมทนา)

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2009, 14:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับคุณเจ้าของกระทู้ ขอแสดงความคิดส่วนตัวนะครับ

คำว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต ผมว่าน่าจะหมายเอาถึงพระอรหันต์เท่านั้น
ที่สามารถเข้าถึงธรรมเช่นเดียวกันกับที่พระพุทธองค์เข้าถึง สามารถบรรลุถึงภาวะอันไม่เกิดไม่ตาย
ด้วยเนื้อตัวชีวิตเช่นเดียวกับพุทธองค์ แจ้งประจักชัดอย่างสิ้นสงสัยว่าชาติได้สิ้นสุดลงแล้ว
การเกิดมีไม่ได้อีกแล้ว ทุกข์ทั้งปวงสิ้นดับรอบลงแล้ว โดยไร้ข้อสงสัยในสภาวะที่ตนเข้าถึง
อย่างเป็นปัจจัตตัง รู้แจ้งต่อนิพพานด้วยใจของตน จึงหมดความสงสัยในความเป็น
พระพุทธเจ้าของพระศาสดา ไม่สงสัยในความไม่เกิดตายของพระองค์ ไม่สงสัยในสิ่งที่
พระองค์พร่ำสอน เพราะตนก็ได้แจ้งประจักสิ่งนั้นแล้วด้วยตัวของตัวเอง

หากเราจะรู้ได้ว่าสิ่งที่พระพุทธองค์พร่ำสอนเป็นสิ่งอันประเสริฐสูงสุดและทำให้สิ้นสุดการเกิดตาย
ได้จริงรึเปล่า คนนั้นต้องถึงธรรมเช่นเดียวกับที่พระพุทธองค์เข้าถึงก่อน

เมื่อทำที่สุดทุกข์ได้ รู้แจ้งต่อสภาวธรรมที่มีความประณีตสูงสุดได้ มีจิตอันเป็นวิสุทธิ
หมดจดจากอาสวะได้ บุคคลนั้นก็จะเห็นชัดถึงตัวตนที่แท้จริงของพระพุทธองค์
สามารถรู้ได้ว่าพระศาสดานี้ เป็นของแท้ และล้ำเลิศเกินกว่าสามัญสัตว์ทั่วไปเพียงไหน

และมองเห็นขอบเขตพลังสติปัญญาที่ไม่สามารถหยั่งคะเนถึง รู้ซึ้งถึงพลังแห่งสัพพัญญูที่สูงล้ำ
เกินขอบเขตอรหันตสาวกของตน

การทำที่สุดทุกข์ได้ของพระอรหันต์ จึงทำให้ท่านหมดความสงสัยในธรรมของพระพุทธองค์
และหมดความสงสัยในภูมิธรรมของพระพุทธองค์อย่างแท้จริงที่สุด

พระอรหันต์จะมีศรัทธาที่บริสุทธิ์และสูงสุดต่อพระพุทธองค์โดยไม่มีความคลอนคลายยิ่งกว่าภูมิธรรม
ชั้นไหนๆ

เพราะเข้าถึงธรรมอันสูงสุดด้วยตนเอง จึงรู้ซึ้งถึงภูมิธรรมอันสูงสุดของพระพุทธองค์ด้วย
การได้เข้าถึงธรรมที่พระพุทธองค์เข้าถึง ทำให้บุคคลผู้นั้นได้มองเห็นตัวตนที่แท้จริงของพระองค์
และรู้จักพระพุทธองค์ได้แท้จริงกว่าใครๆทั้งหลาย

หากใครไม่เข้าถึงธรรมต่อให้นั่งใกล้ชิดติดพระองค์ ก็ไม่รู้จักตัวตนแท้จริงของพระองค์ว่าล้ำเลิศ
ประเสริฐเพียงไหน ดังนั้นใครก็ตามที่เข้าถึงธรรม เขาคนนั้นจึงได้ชื่อว่าเข้าถึงพระองค์
และมองเห็นความเป็นพระพุทธเจ้า ที่มีอยู่ในตัวพระศาสดาของเขาด้วยใจตนเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2009, 08:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


"ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า ผู้ใดเห็นพระพุทธเจ้าผู้นั้นเห็นธรรม" :b39:
"การเห็น"ในที่นี่ไม่ใช่เห็นเป็นนิมิตของพระพุทธเจ้าลอยมาหา แต่เห็นในคุณงามความดี(เห็นด้วยปัญญาที่อยู่ข้างใน)ของพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆเจ้า โดยเห็นได้จากภายในที่ผุดขึ้นมาของผู้ปฏิบัติเอง :b39:

.....................................................
"มีสติเป็นเรือนจิต ใช้ชีวิตเป็นเรือนใจ ใช้ปัญญาเป็นแสงสว่างส่องทางเดินไปเถิด จะได้ล้ำเลิศในชีวิตของท่าน มีความหมายอย่างแท้จริง"
ในการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้ตัดปลิโพธกังวลใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ลูก สามี ภรรยา ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง อย่าเอามาเป็นอารมณ์ จากหนังสือ: เจริญกรรมฐาน7วันได้ผลแน่นอน หัวข้อ12: ระงับเวรด้วยการแผ่เมตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2009, 08:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 เม.ย. 2009, 13:23
โพสต์: 607


 ข้อมูลส่วนตัว


สมพล เขียน:
ต่อจากกระทู้ที่แล้วนะขอรับ สรุปว่าต้องเห็นทุกข์ก่อนเสมอ แล้วจึงเห็นธรรม

ที่นี้ผมสงสัยว่าเมื่อเห็นธรรมแล้ว เราจะเห็นพระพุทธเจ้า อันนี้เห็นพระองค์จริงๆหรือว่าท่านมานิมิตเห็นครับ หรือเป็นคำเปรียบเปรยเฉยๆขอรับ

ขอบพระคุณทุกท่านอีกครั้งขอรับ :b8:

ไม่รู้ดิไม่ค่อยสนใจของแถม หมายถึง แค่อยากเข้าใจธรรมอย่างถ่องแท้ ไม่ได้หวังว่าหลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2009, 15:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
อันนี้ มาเล่า สู่กันฟัง
ถ้าผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ
เพราะคนไร้สาระ ศึกษาธรรมะจาก
สถานปฏิบัติธรรมเคลื่อนที่ ที่มีอยู่ในตัว
คือ ก า ย กับ ใ จ ไม่มีอะไรมาอ้างอิง


ขอแนะนำให้ "คนไร้สาระ" เปลี่ยนชื่อเป็น "คนมีสาระมากมาย" ได้แล้วครับ

ธรรมะหรือธรรมชาติ ได้แก่ กายกับใจของตนๆนี่เอง นี่แหละคือธรรมะ เมื่อใดเห็นตามนั้นละเอียดขึ้นๆๆๆ
ก็จะเกิดญาณ หรือ ปัญญา ได้ดวงตาเห็นธรรม หรือเห็นธรรมชาติ ผู้นั้นก็เห็นพุทธะ คือผู้รู้ พุทธะแปลว่าผู้รู้ คือรู้จักตนเอง รู้จักธรรมชาติ


เห็นด้วยโดยไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ ทั้งสิ้นครับ

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2009, 22:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


วรานนท์ เขียน:
:b8: :b8: :b8:

กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
อันนี้ มาเล่า สู่กันฟัง
ถ้าผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ
เพราะคนไร้สาระ ศึกษาธรรมะจาก
สถานปฏิบัติธรรมเคลื่อนที่ ที่มีอยู่ในตัว
คือ ก า ย กับ ใ จ ไม่มีอะไรมาอ้างอิง


ขอแนะนำให้ "คนไร้สาระ" เปลี่ยนชื่อเป็น "คนมีสาระมากมาย" ได้แล้วครับ

ธรรมะหรือธรรมชาติ ได้แก่ กายกับใจของตนๆนี่เอง นี่แหละคือธรรมะ เมื่อใดเห็นตามนั้นละเอียดขึ้นๆๆๆ
ก็จะเกิดญาณ หรือ ปัญญา ได้ดวงตาเห็นธรรม หรือเห็นธรรมชาติ ผู้นั้นก็เห็นพุทธะ คือผู้รู้ พุทธะแปลว่าผู้รู้ คือรู้จักตนเอง รู้จักธรรมชาติ


เห็นด้วยโดยไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ ทั้งสิ้นครับ

:b8: :b8: :b8:


นั่นคือแนวทางของพวกวิปัสสนา ไปได้ถึงอรหันต์สุกขวิปัสสโก เป็นอรหันต์แห้งแล้ง เขาจะไม่รู้เรื่องสมมุติในโลกเลย เพราะใจของท่านจะไปคิดว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องไม่จริง นิมิตต่างๆที่เห็น ก็จะไปตีความว่าเป็นเรื่องไม่จริงทั้งสิ้น ในปฐมสังคายนา พระอรหันต์ขีณาสพผู้มีอภิญญาต่างๆจะห้ามพระอรหันต์สุกขวิปัสสโกเข้าร่วมในการสังคายนาพระไตรปิฎก เพราะอรหันต์สุกขวิปัสสโก เป็นอรหันต์แห้งแล้งจากอภิญญา 5 ซึ่งเป็นโลกีย์อภิญญา เป็นเรื่องของสมมุติในโลก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2009, 01:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อก่อนผมก็เป็นเหมือนกันกับคุณนี้แหละ

บอกกันยังงัย ๆ มันก็เปลี่ยนความคิด ความเห็น ของคุณขณะนี้ไม่ได้หรอก

ลองเข้าศึกษา ปฏิบัติธรรม ดูนะครับ เมื่อถึงจุด ๆ หนึ่ง ใจคุณจะเป็นผู้บอก หรือยืนยันให้กับคุณเอง

สำหรับผมแล้ว นี้ไม่ไช่คำเปรียบเปรย หรือเล่นโวหารให้สวยหรูนะครับ ของจริง ของจริง

อย่าเชื่อผมนะ ต้องทดลองดู


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 45 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron